วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ตลาดน้ำอโยธยา ตอนสอง Ayothaya Floating Market

-->


ตลาดน้ำอโยธยา ตอนสอง Ayothaya Floating Market
วันนี้เป็นวันแม่แห่งชาติ วันที่  12 สิงหาคม 2555  ได้ไปทำบุญถวายผ้าป่าสามัคคี  และเลี้ยงอาหารเด็กกำพร้าที่วัดตาลเจ็ดช่อ จังหวัดอ่างทอง  หลังจากนั้นขากลับได้มีความตั้งใจว่าจะไปเที่ยวชมตลาดน้ำอโยธยาเพื่อเก็บภาพมาฝาก  เพราะคราวที่แล้วเวลาน้อยเลยได้ภาพไม่สวยเท่าที่ควร เที่ยวนี้ตั้งใจเจาะลึกรายละเอียดตลาดน้ำอโยธยา
เริ่มต้นจากข้อมูลที่ได้คือ แผ่นพับประชาสัมพันธ์ของตลาดน้ำอโยธยา ตลาดน้ำหมู่บ้านปางช้างอโยธยาหรือที่หลายคนเรียกว่า ตลาดน้ำอโยธยา ตั้งอยู่บริเวณหมู่บ้านปางช้าง  ใกล้ๆ กับวัดมเหยงคณ์  ตำบลไผ่ลิง อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  ไม่ไกลจากกรุงเทพมหานครมากนัก


น้องใบโพธิ์ และใบไทร
ตลาดน้ำอโยธยา มีพื้นที่ประมาณ  70 ไร่ นับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทย ที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา  ก่อตั้งขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ ที่จะให้สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวและศึกษาเชิงอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทยคงตามรูปแบบตลาดน้ำสมัยอยุธยา ทั้งด้านการแต่งกาย สถาปัตยกรรมที่งดงาม และคงเอกลักษณ์ขนบธรรมเนียมประเพณี การละเล่น และการแสดงพื้นบ้าน ของกินของใช้ในยุคเก่า  วิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบไทยๆ ที่เรียบง่าย  นับเป็นจุดศูนย์รวมนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่จะได้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศ และทัศนียภาพอันงดงามตามแบบฉบับของคนไทย  นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมตลาดเพื่อชิมอาหารรสชาติอร่อย หรือเลือกซื้อของกินของใช้กลับไปเป็นของฝาก จากร้านที่ตั้งเรียงรายอยู่ในเรือนไทยอันงดงามรอบตลาดน้ำอโยธยา
นอกจากนี้ยังมีจุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของตลาดน้ำอโยธยาแห่งนี้ คือการที่นำชื่อตลาดที่สำคัญในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา   มาตั้งเป็นชื่ออาคาร สถานที่เพื่อให้ผู้มาเยือน ได้รู้จักสินค้าของแต่ละอำเภอ และสามารถจดจำชื่อตลาดต่างๆ ของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้เป็นอย่างดี อาทิ โซนตลาดเจ้าพรหม  โซนตลาดเสนา  ตลาดนครหลวง เป็นต้น
สัมผัสตลาดน้ำโบราณ  มนต์เสน่ห์แห่งวิถีชีวิตแบบไทยๆ ได้ที่ตลาดน้ำอโยธยา ซึ่งจะสร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวอย่างไม่รู้ลืม ตลาดน้ำอโยธยาเปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 10:00 น. – 20:00 น.
กิจกรรมที่น่าสนใจ
-          นั่งเรือชมบรรยากาศตลาดน้ำ
-          เดินชมและถ่ายภาพตามมุมและร้านต่างๆ ที่น่าสนใจ
-          แวะชิมอาหารรสชาติอร่อย และซื้อของฝากกลับบ้าน
-          ขี่ช้างชมโบราณสถาน ซึ่งอยู่โซนเดียวกับตลาดน้ำ
-          ชมการแสดงพื้นบ้านและกิจกรรมต่างๆ ที่ลานแสดงตลาดน้ำอโยธยา ซึ่งอยู่บนเกาะกลางน้ำ  และการแสดงจากสำนักดาบไทยพุทไธสวรรย์
-          นอกจากนี้ ท่านยังสามารถเที่ยวชมตลาด อโยเดีย ตลาดนานาชาติ ซึ่งกำลังเปิดใหม่ติดกับปางช้าง

           ท่าเรือหัวรอ เดี๋ยวผมจะพาทุกท่านนั่งเรือชมริมฝั่งตลาดน้ำอโยธยา ว่าแล้วซื้อตั๋วลงเรือกันดีกว่าครับ ค่าตั๋วผู้ใหญ่ 20  บาท เด็ก 10 บาท ครับ  ก่อนลงเรือจะมีบริการถ่ายรูปเป็นหมู่คณะฟรีครับ จากเจ้าหน้าที่ตลาดหัวรอ แต่เป็นรูปขนาดน่าร๊าก...น่ารัก 1 นิ้ว x 2 นิ้ว  แต่ถ้าคุณสนใจมีภาพขนาด 5 นิ้ว x 7 นิ้ว  พร้อมใส่กรอบโดยมีวิวตลาดน้ำอโยธยาเป็นแบล็คกราวน์ สวยครับ 100  บาท

บรรยากาศภายในเรือครับ  ใบไทรหลานสาวของผมครับกำลังน่ารักน่าชัง ส่วนคนที่ใส่แว่นภรรยาผมเอง  เดี๋ยวเราไปดูรอบๆริมน้ำ ว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง
เป็นเกาะกลางน้ำของตลาดน้ำอโยธยา  เป็นสถานที่สำหรับทำบุญตักบาตร 9 วัด และ ด้านในถัดไปจะเป็นลานแสดงวัฒนธรรมต่างๆ ผมชอบการต่อสู้แบบไทยๆ มีมวยไทยโบราณ  การแสดงการต่อสู้ดาบสองมือจากสำนักเดียวกับ ขุนศึก “ 

















เป็นอย่างไรครับเบื่อกันหรือยัง?    ถ้ายังไม่เบื่อมี ตลาดน้ำอโยธยา ตอนสาม ครับติดตามชมกันได้ จะพาไปดู       หมู่บ้านปางช้างอโยธยา  ขี่ช้างชมโบราณสถานวัดมเหยงคณ์  และตลาดนานาชาติ อโกเดีย

วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ตลาดน้ำอโยธยา ตอน 1 Ayothaya Floating Market


หลังจากได้แวะเที่ยวชม อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาถึงบ่ายแก่ๆ  ก็ได้เวลาออกเดินทางต่อจุดหมายคือตลาดน้ำอโยธยา ซึ่งมีเสียงร่ำลือจากผู้ที่ไปสัมผัสและเที่ยวชมมาว่าเป็นตลาดน้ำที่สวยงามน่าท่องเที่ยวมาก เป็นตลาดย้อนยุคแบบโบราณ  แต่กว่าจะถึงและหาที่จอดรถได้ ทั้งที่ระยะทางไม่ก็กี่กิโลเมตร จากอุทยานประวัติศาสตร์อยุธยา ถึงตลาดน้ำอโยธยา  เพราะรถติดมากๆ ในวันเข้าพรรษา (3 สิงหาคม 2555) ไม่รู้หล่ะว่า...ลานจอดรถอยู่ตรงไหน พอเห็นป้ายเขียนบอกไว้ว่าลานจอดรถทางลัดไปตลาดน้ำอโยธยา  รีบหันหัวรถเข้าเลยครับ...เสียค่าจอด 20 บาท และเดินเท้าเข้าไปตามทางไม่ไกลครับ  ใกล้จริงๆ 

พอถึงทางเข้าตลาดน้ำอโยธยา ก็จะพบหน้าบ้านของ คุณขุนเขา, ขุนนา และบุญส่ง  เจ้าของบ้านก็คอยต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างอารมณ์ดี  เปล่าชื่อที่กล่าวมาไม่ใช่คนนะครับ เป็นควายที่ทาง คณะกรรมการตลาดน้ำอโยธยา ได้ไถ่ชีวิตโค กระบือ มาจากโรงฆ่าสัตว์ และมาเลี้ยงไว้ น่ารักดี ใครอยากทำบุญไถ่ชีวิตโค กระบือเชิญเลยครับ

เดินเข้ามาอีกหน่อยก็จะเห็นป้ายชื่อ ตลาดน้ำอโยธยา ที่จำลองกำแพงเมืองเก่า ที่บ่งบอกถึงความเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของอโยธยาเมื่อครั้งอดีต รูปปั้นเด็กไทยโบราณตัวใหญ่และสะพานไม้ข้าม ร่องน้ำ ที่มีอยู่ตามมุมต่างๆ ก็ดูแล้วน่าสนใจไม่น้อย มีมุมให้ถ่ายรูปไว้เป็นระลึกให้เลือกตามใจชอบ

นอกจากนี้ยังมีร้านค้าให้เลือกซื้อเลือกหามากมายหลากหลายร้านค้า ตั้งแต่สิ้นค้าอินแทรนด์   เสื้อผ้า เครื่องประดับ กระเป๋า รองเท้า และสินค้า OTOP  เครื่องจักสาน มีดอรัญญิก งานหัตถกรรมประเภทเฟอร์นิเจอร์ ของเก่า งานศิลป์  และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ฯลฯ ร้านขายของเก่า เครื่องเงิน เครื่องประดับ งานเขียน ยาสมุนไพร สินค้า ที่ระลึก เครื่องจักสาน สินค้า  ผ้าบาติก งานไม้จากกะลา งานแจกัน   ของตกแต่งบ้าน ฯลฯ มีให้เลือกมากมาย

อันนี้เป็นกระปุก  กระป๋องออมสิน  ใครมีเงินเหลือใช้มากมายไม่มีที่จะเก็บซื้อกระปุกออมสินไม่ผิดหวัง  หรือจะเป็นของตกแต่งบ้านก็สวยงามดี จากข้อมูลที่ศึกษาดู ตลาดน้ำอโยธยามีร้านค้ามากถึง 249 ร้าน ประกอบ ด้วยเรือสินค้า ขายอาหาร 50 ลำ ตลาดนัดชุมชนวิถีไทกว่าอีก 40 ร้าน และร้านค้าต่างๆ อีก 159 ร้าน มีสะพานเดินรอบริมแม่น้ำเพื่อเลือกซื้อสินค้าตลอดแนวทางเดิน

               ภาพนี้เป็นภาพหลานสาวของผมชื่อ ใบไทร”  และลูกสาว  สองอาหลาน กำลังให้นมปลาคาร์ป ซึ่งที่ตลาดน้ำอโยธยา จะมีจุดบริการอยู่ใกล้ๆ กับสะพานข้ามคลอง ถ้าเดินเข้าไปใกล้ๆ บริเวณจะมีเสียงร้องเรียก เชิญให้นมปลาคาร์ป”  ขวดละ 20 บาท เด็กๆ ให้ความสนใจเป็นพิเศษ


เป็นภาพบรรยากาศบริเวณท่าเรือหัวรอตลาดน้ำอโยธยา  เมื่อยืนอยู่บนสะพานข้ามคลอง  ส่วนที่มองเห็นไกลๆ นั่น เป็นหมู่บ้านช้างอโยธยา  บริเวณข้างๆ หมู่บ้านช้างจะเป็นตลาดเปิดใหม่ชื่อ " ตลาดอโยเดีย"

ติดตามชม ตลาดน้ำอโยธยาตอนสอง กันต่อ ซึ่งเป็นการรวมสองทริปเข้าด้วยกัน


วันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2555

วัดไชยวัฒนาราม Wat Chaiwatthanaram


วัดไชยวัฒนาราม Wat Chaiwatthanaram
         หลังจากเที่ยวชมความแออัดของ ตลาดน้ำกรุงเก่าวัดท่าการ้องอยุธยาจนเป็นที่พึงพอใจแล้วจึงพากันเดินทางกลับเข้าตัวเมืองอยุธ ยาระหว่างทางได้แวะเยี่ยมชมวัดไชยวัฒนาราม หลังจากที่ประเทศไทยได้เกิดมหาอุทกภัย พ.ศ. 2554  น้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา ได้เข้าท่วมบ้านเรือนราษฎรบริเวณหลังวัดไชยวัฒนาราม ระดับน้ำสูงกว่า 2 เมตร ทำให้โบราณสถานในเขตเกาะเมืองอยุธยาได้รับความเสียหายเกือบทั้งหมด  จากภาพกรมศิลปากรกำลังบูรณะซ่อมแซมให้กลับสู่สภาพเดิม โดยการติดป้ายประกาศ และกั้นพื้นที่ไม่ให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเข้าใกล้บริเวณ  จึงได้แต่ยืนชมความเสียหายอยู่ห่างๆ เห็นโบราณสถานอันเป็นมรดกของชาติไทยได้รับความเสียหายแล้วทำให้เศร้าสลด  พอดีไปเห็นหนังสือที่วางขายที่ร้านหนังสือ เลยไปหยิบมาอ่านเป็นหนังสือเกี่ยวกับ กรุงศรีอยุธยา ราชธานีไทย เล่ม 3 “ เขียนโดย ท่านไชยวัฒน์  วรเชฐวราวัตร จึงได้ซื้อมาอ่าน และขออนุญาตนำบทความมาเผยแพร่ให้สาธุชนรุ่นหลังได้เรียนรู้และศึกษาประวัติประเพณีสืบต่อไป ขอบคุณ
ประวัติวัดไชยวัฒนาราม
วัดไชยวัฒนาราม ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาทางฝั่งตะวันตกของเกาะเมืองอยู่ตรงข้ามกับพระตำหนักสิริยาลัย ของสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ ตามประวัติสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานว่า  สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ให้สร้างวัดไชยวัฒนารามขึ้น เมื่อ พ.ศ. 2173  เพื่อเป็นอนุสรณ์อุทิศพระราชกุศล ถวายพระราชมารดา มีนามว่า นางอิน โดยจำลองแบบปราสาทนครวัด  ประเทศกัมพูชามาก่อสร้าง เมื่อครั้งที่เคยรบชนะกัมพูชา
วัดไชยวัฒนาราม มีปรางค์ประธาน (รัตนมหาธาตุ) สูง 35 เมตร  และปรางค์มุมอยู่บนฐานทักษิณเดียวกัน ล้อมรอบด้วยระเบียงคต ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปั้นปางมารวิชัย ลงรักปิดทองจำนวน 120 องค์ ตามแนวระเบียงคต มีเมรุทิศทั้ง  8  ภายในเมรุทิศ  ประดิษฐานพระพุทธรูปทรงเครื่อง 12  องค์  ภายในซุ้มเรือนแก้วล้วนลงรักปิดทอง  ที่ฝ้าเพดานทำด้วยไม้ประดับลวดลายลงรักปิดทอง  ผนังภายในเมรุทิศมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง  ส่วนผนังด้านนอกของเมรุมีภาพรูปปั้นเรื่องพุทธประวัติจำนวน  12  ภาพ
พระอุโบสถอยู่ทางด้านทิศตะวันออกนอกระเบียงคต  ด้านซ้ายขวามีเจดีย์ย่อมุมไม้  12  ด้าน ริมนอกมีกำแพงล้อมรอบ 3  ชั้น  ที่ริมกำแงด้านเหนือมีปรางค์น้อยหรือศาลเจ้าดุสิต  และที่ด้านข้างของระเบียงคตมีเจดีย์ทรงระฆัง หรือที่เรียกว่า เจดีย์เจ้าฟ้ากุ้ง  เป็นที่บรรจุพระอัฐิของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ กับเจ้าฟ้าสังวาล  ซึ่งทั้งสองถูกสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ  ลงพระอาญาเฆี่ยนจนสิ้นพระชนม์ชีพ แล้วถวายพระเพลิงที่นี่  นอกจากนั้นยังเป็นสถานที่ถวายพระเพลิงของพระบรมวงศานุวงศ์อีกหลายพระองค์
วัดไชยวัฒนาราม เป็นวัดที่มีความสำคัญยิ่ง  ซึ่งได้รับอิทธิพลตามความเชื่อของพราหมณ์และฮินดูว่า ปรางค์ประธานที่วัดไชยวัฒนาราม เปรียบเสมือนยอดเขาพระสุเมรุ  ที่เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในจักรวาล  ฉะนั้นการที่สมเด็จพระเจ้าปราสาททองนำอัฐิของพระราชมารดา มาไว้ที่พระปรางค์  ก็เท่ากับว่าไว้บนยอดเขาพระสุเมรุ  เป็นการถวายพระราชกุศลอันสูงสุด ส่วนเมรุทิศทั้ง  8  นั้น  ก็เปรียบเสมือนสวรรค์ที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ 
เมื่อ  พ.ศ. 2310  พม่าล้อมกรุงศรีอยุธยาวัดไชยวัฒนาราม ได้ถูกดัดแปลงเป็นค่ายรบ  หลังจากนั้นก็ถูกทิ้งล้าง มีคนร้ายขโมยเศียรพระ ลักลอบขุดหาสมบัติ  และขนอิฐไปขาย
พ.ศ. 2534  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน และสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ  ได้ทรงเสด็จพระราชดำเนินมาที่  วัดไชยวัฒนาราม ถึง ครั้ง  ล้นเกล้าทั้งสองพระองค์ได้สนพระทัยเป็นพิเศษ  พร้อมมีรับสั่งให้บูรณปฏิสังขรณ์  ทำให้หน่วยงานหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง  ร่วมแรงร่วมใจกันพัฒนา จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เพื่อเฉลิมพระเกียรติ พระชนมายุ 60  พรรษา ของสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ  ปี พ.ศ. 2535
และในปี 2539  สมเด็จพระนางเจ้าคลีนอลิซาเบธ  ที่แห่งประเทศอังกฤษ  ได้เสด็จทอดพระเนตรการแสดง  ชนช้างของสมเด็จสุริโยทัย  เรื่องคนดีศรีอยุธยา  ทำให้ภาพวัดไชยวัฒนาราม  ปรากฏในสื่อทั้งทางโทรทัศน์และสิ่งพิมพ์  และเว็บไซต์  จึงเป็นที่รู้จักแพร่หลายไปทั่วโลก

แหล่งที่มาหนังสือเผยแพร่  กรุงศรีอยุธยา ราชธานีไทย เล่ม 3 “
ท่านสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คมชัดลึกออนไลน์

ตลาดน้ำกรุงเก่าวัดท่าการ้องอยุธยา



ตลาดน้ำกรุงเก่าวัดท่าการ้องอยุธยา
เข้าพรรษาวันที่ 3 สิงหาคม 2555  บริษัทหยุดต่อเนื่อง 3 วัน คือวันที่ 3 – 5 สิงหาคม  2555  เลยถือโอกาสท่องเที่ยวทำบุญเข้าพรรษาที่เมืองเก่าอยุธยา และมีความตั้งใจที่จะไปเที่ยวชมโบราณสถาน เพราะตั้งแต่ถูกน้ำท่วมยังไม่ได้ไปดูความเสียหายเลย ทริปนี้ออกเดินทางกันแต่เช้า  ไปตั้งต้นที่วัดท่าการ้อง ซึ่งอยู่เลยไปทางทิศตะวันตกของอุทยานประวัติศาสตร์อยุธยา  ก่อนอื่นก็ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับวัดท่าการ้องเสียก่อน
วัดท่าการ้อง
วัดท่าการ้อง เป็นวัดเก่าแก่สมัยอยุธยา ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาทางทิศตะวันตกของเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา ท่ามกลางชุมชนอิสลาม 2 หมู่บ้านคือ บ้านท่ากับบ้านการ้อง อันเป็นวัดพุทธศาสนาที่อยู่ท่ามกลางชุมชนมุสสิม
วัดท่าการ้องตั้งอยู่ที่บ้านท่า เป็นวัดหนึ่งที่นักท่องเที่ยวนิยมแวะมาสักการะพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ นามว่า "พระพุทธรัตนมงคล" หรือที่เรียกกันว่า "หลวงพ่อยิ้ม" สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนต้น ขณะที่บ้านเมืองมีความเจริญรุ่งเรืองและสงบสุข ดังจะเห็นได้จากพระพุทธลักษณะที่งดงามและพระพักตร์ที่มีความเมตตา
วัดท่าการ้อง ได้ตกแต่งบริเวณวัดให้สวยงามด้วยต้นไม้ดอกไม้ประดับเป็นระเบียบ รวมทั้งมีห้องน้ำที่ตกแต่งสวยงามจนได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวด สุดยอดส้วมแห่งปีระดับประเทศ ปี 2549    ประเภทวัดและศาสนสถาน
ภายในบริเวณด้านหลังของวัดท่าการ้องได้จัดให้เป็นตลาดน้ำ ซึ่ง ของขายในตลาดก็จะเป็นพวกของกินหลากหลายชนิด ทั้งก๋วยเตี๋ยวเรือ ข้าวผัด ของกินเล่น เช่นก๋วยเตี๋ยวหลอด สั้มตำสมุนไพร ไก่ทอดข้าวเหนียว ลูกชิ้นปิ้ง ขนมตาล ไอศครีม และ ร้านเครื่องดื่ม ประเภทกาแฟ ชาเย็น ใส่ในกระบอกไม้ไผ่ดูแปลกดี ดื่มแล้วชื่นใจ และ ราคาของกินที่นี่ราคาก็ไม่แพง บริเวณตลาดน้ำวัดท่าการ้องเปิดทุกวันเสาร์ - อาทิตย์ และ วันหยุดนักขัตฤกษ์
            ตลาดน้ำกรุงเก่าวัดท่าการ้อง เป็นแพริมน้ำ บริเวณแม่น้ำเจ้าพระยา ที่มีบรรดาพ่อค้า แม่ค้าชาวบ้าน น้ำอาหาร ทั้งคาวหวาน ซึ่งล้วนแต่เป็นอาหารไทยๆ มาไว้บริการนักท่องเที่ยว สินค้าที่ขายในตลาดเป็นพวกของกินหลากหลายชนิด ทั้งก๋วยเตี๋ยวเรือ ข้าวผัด ของกินเล่น เช่นก๋วยเตี๋ยวหลอด ส้มตำสมุนไพร ไก่ทอดข้าวเหนียว ลูกชิ้นปิ้ง ขนมตาล และเครื่องดื่มกาแฟโบราณ ต่างๆ เย็นชื่นใจ กับบรรยากาศตลาดน้ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา
            นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมภายในตลาดน้ำนั่นก็คือให้อาหารปลา ที่ทางวัดจะมีตู้อาหารปลา ริมแพในแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนมากจะเป็นปลาสวายที่ชอบหากินบริเวณหน้าวัดต่างๆ นักท่องเที่ยวที่ใจบุญ สามารถซื้ออาหารให้อาหารปลาริมแม่น้ำเจ้าพระยาได้  และมีบริการนั่งเรือเที่ยวชม วิถีชีวิตชาวพระนครศรีอยุธยา ริมสองฝั่งแม่น้ำริมเจ้าพระยา และเรือนำเที่ยวไหว้พระ 9 วัด ที่มีให้บริการนักท่องเที่ยว ตลาดน้ำกรุงเก่า วัดท่าการ้อง เปิดทุกวันเสาร์ - อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์  
ตลาดน้ำกรุงเก่าวัดท่าการ้อง  ในช่วงเทศกาลเข้าพรรษาผู้คนต่างพาครอบครัวมาเที่ยวชมกันอย่างหนาแน่นมาก  แน่นทั้งคนทั้งรถยนต์  แต่ก็ยังมีที่ให้จอดรถเพราะผู้คนต่างก็แวะเวียนกันเข้าออกทั้งวัน
การเดินทาง

            ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 32 พอถึงแยกถนนเข้าตัวตัวเมืองอยุธยา ถนนโรจนะทางหลวงหมายเลข 309 พอถึงวงเวียนให้ขับตรงไป จากนั้นข้ามสะพานใหญ่แม่น้ำ ผ่านโรงแรมกรุงศรีรีเวอร์  ขับไปเรื่อยๆ จะมีป้ายบอกทางตลอด หรือดูเส้นทางจากแผนที่