วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2554

aerosoft ผลิตเสื้อชูชีพเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย

ในการผลิตเสื้อชูชีพนั้น จากการที่ประเทศไทยได้ประสบอุทกภัยและได้ขยายวงกว้างไปทั่วทุกที่  คาดว่าไม่หยุดเพียงแค่นี้  ผู้บริหาร aerosof จึงได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งผลิตเสื้อชูชีพ  โดยมีเป้าหมาย 500 ตัว  และได้ส่งมอบไปยังหน่วยงานต่างๆแล้วมากกว่า 100 ตัว 

เจ้าหน้าที่สำนักข่าวช่อง3 ประจำเจ้ากรมกิจการพลเรือนทหารเรือ ให้เกียรติเป็นพรีเซ็นเตอร์สวมใส่เสื้อชูชีพจาก aerosoft






นักข่าวจากสำนักข่าวช่อง3  ทดลองสวมใส่แล้วยกนิ้วโป้งให้  แสดงว่าเสื้อชูชีพ aerosoft ให้ความปลอดภัยแก่ผู้สวมใส่ได้ดีทีเดียว  ภายในบรรจุด้วยโฟมที่สามารถช่วยพยุงให้ผู้ที่ สวมใส่ลอยคออยู่ในน้ำได้อย่างปลอดภัย





  
พนักงาน  aerosoft  แผนกบล็อกสกรีนกำลังสกรีนเสื้อชูชีพ   นาม aerosoft ผู้โด่งดังเรื่องรองเท้า  งานนี้เสื้อชูชีพนับเป็นผลงานอีกชิ้นหนึ่ง  ที่ฝ่ายต่างๆร่วมมือกัน






          เดินหน้าเต็มที่ในเป้าหมายการผลิต  500 ตัว   คุณต๋อย  รองหัวหน้าแผนกจักร  (คนใส่ชุดดำ) เป็นผู้ควบคุมงาน  บอกสู้เต็มที่...แต่อย่าลืมสังเกตุระดับน้ำที่ลำคลองบางกระเทียมซึ่งบ้านตัวเองตั้งอยู่ริมคลองบ้างนะ








ขั้นตอนการผลิตแพลอยน้ำ

                  คุณ อุดร  กรรณทอน จาก HUNTSMAN  ลงมือพ่นสีแพลอยน้ำด้วยตัวเอง   และขอแจ้งให้ทราบว่า  ในการผลิตแพลอยน้ำนั้น  ขณะนี้ ประธานใหญ่ของ aerosoft  ได้เสนอแนะแนวทางแก่ผู้บริหารทำการติดตั้งเครื่องยนต์เพื่ออำนวยความสะดวกและรวดเร็วในการเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัย  ขณะนี้กำลังออกแบบเพื่อความเหมาะสมในการใช้เครื่องยนต์

                  พนักงานจาก aerosoft  กำลังสาธิต  การยกแพลอยน้ำ เพื่อแสดงให้เห็นว่า  แม้จะเป็นเพียงผู้หญิงที่มีสรีระเล็กๆ ก็สามารถยกเคลื่อนย้ายได้โดยง่าย เห็นหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสในขณะยกทั้งสองคนแล้ว  คงนึกภาพออกนะครับ......




  
                  คุณ สุชาติ  แย้มไสว   ผู้จัดการฝ่ายเคมีจาก    aerosoft  กำลังวางแม่พิมพ์   ของผู้ที่มีส่วนร่วมในการบริจาควัสดุอุปกรณ์การผลิตแพลอยน้ำในครั้งนี้  หน่วยงานใดมีความประสงค์จะสนับสนุนส่งเสริมกิจกรรม สามารถติดต่อสอบถามได้ทั้ง aerosoft และ HUNTSMAN






              บริษัท ควอลิเมอร์ จำกัด ร่วมบริจาคไม้อัดในการผลิตแพลอยน้ำจำนวน20 แผ่นโดยคุณ เจริญชัย มาตย์วิเศษ ผู้จัดการฝ่ายผลิต  บริษัท ควอลิเมอร์ จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 29/3 หมู่ 2 ถนนบ้านบึง อำเภอหนองใหญ่ จังหวัดชลบุรี 20190
โทรศัพท์ 038 - 168572 - 6
แฟ็กซ์ 038 - 168577

       เป็นภาพส่วนหนึ่งของประชาชนบริเวณใกล้เคียงที่ทราบข่าว ต่างพากันมาให้ความร่วมมือในกิจกรรมครั้งนี้  ทุกคนมาด้วยใจครับช่วยกันคนละไม้คนละมือ  (การหลอมแพลอยน้ำบริษัทได้ใช้โรงงานเก่า คือคิงส์สปัน อยู่ซอยวัดศรีวารีน้อย เป็นศูนย์การผลิตแพลอยน้ำในครั้งนี้)






                               ถึงฝนจะตก ถึงแดดจะออก พี่เบิ้ม ของเรา (คุณสุชาติ  แย้มไสว ) ก็ไม่ย่อท้อ..สู้ตาย





















วันพุธที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2554

aerosoft และHUNTSMAN ร่วมพิธีส่งมอบแพลอยน้ำและเสื้อชูชีพ


               
                      วันนี้ผู้บริหารของ aerosoft โดยคุณ สุชาติ  แย้มไสว ผู้จัดการฝ่ายเคมี  ร่วมกับผู้บริหารระดับสูงของ HUNTSMAN คุณ สุรพล  ฉัตรอนันทเวช  ทำพิธีส่งมอบ แพลอยน้ำ จำนวน 30 แพ และเสื้อชูชีพ แก่กองทัพเรือไทย  โดย พลเรือตรี ประพฤติพร  อักษรมัต  เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหารเรือ  ตั้งอยู่ที่ 200 ถนนมหาราช เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200 
                  พลเรือตรี ประพฤติพร  อักษรมัต  เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหารเรือ  ได้แสดงความขอบคุณมายังผู้บริหารและคณะดำเนินงานทุกท่านของ บริษัท ซัมมิทฟุตแวร์ จำกัด และบริษัทฮันทส์แมน(ประเทศไทย) จำกัด

                    เป็นหนึ่งในทีมงานของ aerosoft และ HUNTSMAN  ที่ร่วมแรงร่วมใจอย่างขยันขันแข็ง  เริ่มจากซ้ายคือคุณ อุดร  กรรณทอน จาก HUNTSMAN  ยืนอยู่ด้านหลังคุณ  ขวัญชัย  สิงห์โตทอง ถัดจากนายทหารเรือมาคุณ สีดา  กาลพาด  และคุณสุรสิทธิ์  แก่นกงไว จาก aerosoft

                   รถส่งกำลังบำรุงที่เคยลำเลียงเหล่าหน่วยรบของชาติเมื่อยามมีศึก    ยามประชามีทุกข์ทัพเรือไทยก็ไม่สามารถนิ่งนอนใจอยู่ได้  นี่แหละครับคือรั้วของชาติ  งานนี้ทหารเรือถนัด คืบก็ทะเลศอกก็ทะเล ขอเป็นกำลังใจช่วย  ผมเองซึ่งเป็นผู้เขียนก็เป็นส่วนหนึ่งของ  aerosoft

                     ทั้งทหารและพลเรือน  ตอนนี้ต่างต้องทำงานแข่งกับเวลา  ขณะนี้แถวถนนพหลโยธินบางพื้นที่น้ำก็เริ่มท่วมบ้างแล้ว  เหลือปราการด่านสุดท้ายก่อนลงสู่อ่าวไทย คือสมุทรปราการ  กำลังรอลุ้นอย่างใจระทึกช่วงระหว่าง แรม 13 - 15 ค่ำ จนถึงขึ้น 1 - 4 ที่ระดับน้ำทะเลจะขึ้นในระดับสูงตามแรงดึงดูดของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ที่มีอิทธิพลต่อการขึ้นลงของน้ำในมหาสมุทร

การเกิดน้ำขึ้นน้ำลง
                     น้ำขึ้นน้ำลงเกิดจากแรงดึงดูดของดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ ถึงแม้ว่าดวงอาทิตย์จะมีมวล 27 ล้านเท่าของดวงจันทร์ แต่ดวงอาทิตย์ อยู่ห่างจากโลก 93 ล้านไมล์ ส่วนดวงจันทร์ที่เป็นบริวารของโลกนั้น อยู่ห่างจากโลกเพียง 240,000 ไมล์ ดังนั้นดวงจันทร์ จึงส่งแรงดึงดูดมายังโลกมากกว่าดวงอาทิตย์ และน้ำที่เกิดจากแรงดึงดูดของดวงอาทิตย์จะสูงเพียง ร้อยละ 46 ของระดับน้ำที่สูงจากแรงดึงดูดของดวงจันทร์น้ำซึ่งเป็นของเหลว เมื่อถูกแรงดึงดูดจากดวงจันทร์ ในขณะที่ดวงจันทร์โคจรผ่านบริเวณนั้น น้ำก็จะสูงขึ้น ไปในทิศทางเดียวกับที่ดวงจันทร์ปรากฏ และบนผิวโลกในด้านตรงข้ามกับดวงจันทร์ น้ำจะสูงขึ้นด้วย เพราะอำนาจดึงดูดของดวงจันทร์ กับของโลกไปรวมกันในทิศทางนั้น และในตำแหน่งที่คนเห็นดวงจันทร์ อยู่สุดลับขอบฟ้า ตรงนั้นน้ำจะลดลงมากที่สุด จึงเท่ากับว่ามีน้ำขึ้น น้ำลง สองแห่งบนโลกในเวลาเดียวกันน้ำจะขึ้นสูง เต็มที่ทุกๆ 12 ชั่วโมง โดยประมาณ และหลังจากน้ำขึ้นเต็มที่แล้ว ระดับน้ำจะเริ่มลดลง ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง แต่เนื่องจากดวงจันทร์หมุนรอบโลกจากตะวันตกไปตะวันออก หนึ่งรอบกินเวลาประมาณ 29 วัน น้ำขึ้นและน้ำลงจึงช้ากว่าวันก่อน ไปประมาณ 50 นาที หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า ในหนึ่งวัน หรือ 24 ชั่วโมง 50 นาที น้ำจะสูงขึ้น และลดลง 2 ครั้งความแตกต่างระหว่างระดับน้ำสูงสุดกับระดับน้ำต่ำสุด แต่ละแห่งบนโลกจะไม่เท่ากัน โดยเฉลี่ยจะขึ้นหรือลงประมาณ 3-10 ฟุต ซึ่งสาเหตุประการหนึ่งเกิดจากตำแหน่งของดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์เมื่อโลก และดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์ มาอยู่ในแนวเดียวกัน ไม่ว่าดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์จะอยู่ข้างเดียว หรือคนละข้างกับโลก น้ำจะสูงขึ้นกว่าปกติ เรียกว่า น้ำเกิด (spring tide) ซึ่งจะเกิดขึ้นเดือนละ 2 ครั้ง คือใกล้วันขึ้น 15 ค่ำ และวันแรม 15 ค่ำและเมื่อใดที่ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ อยู่ในแนวตั้งฉาก ซึ่งกันและกัน ระดับน้ำจะไม่สูงขึ้น แต่จะอยู่ในระดับเดิม ไม่ขึ้นไม่ลง เรียกว่า น้ำตาย จะเกิดขึ้นเดือนละ 2 ครั้ง เช่นเดียวกับน้ำเกิด คือใกล้วันขึ้น 8 ค่ำ และวันแรม 8 ค่ำส่วนอีกสาเหตุหนึ่งที่น้ำขึ้นมากขึ้นน้อย ลงมากลงน้อย เกี่ยวกับขนาดรูปร่างและความลึกของท้องมหาสมุทรด้วย อย่างเช่นเกาะแก่งต่างๆ จะต้านการขึ้นลงของกระแสน้ำได้มาก ในหมู่เกาะตาฮิติ ระดับน้ำจะขึ้นสูงเพียง 1 ฟุตเท่านั้น แต่บริเวณแผ่นดินที่เป็นรูปกรวย หันปากออกไปสู่ทะเล จะรับปริมาณของน้ำได้มาก เช่นปากอ่าวของแคว้น โนวาสโคเตียน แห่งแคนดีทางตะวันออกของอเมริกาเหนือ น้ำจะขึ้นสูงถึง 40 ฟุต   

                     จากขวา คุณ นรากานต์  พัวพัน  และ คุณ อุดร  กรรณทอน จาก HUNTSMAN  สองคนนี้ผมยอมรับว่าทุ่มเทจริงๆ เห็นการทำงานแล้วเหนื่อยแทน  แต่ ณ เวลานี้ยิ้มได้อย่างเต็มที่...สมกับความเหน็ดเหนื่อยที่ได้ทุ่มเทไป





วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2554

aerosoft จับมือกับ HUNTSMAN รวมใจสู้ภัยน้ำท่วม


aerosoft จับมือกับ HUNTSMAN รวมใจสู้ภัยน้ำท่วม

               บริษัท ซัมมิทฟุตแวร์ จำกัด  ตั้งอยู่ที่ 5/4 หมู่ 1 ถ.บางนา ตราด กม. 16  ต.บางโฉลง อ. บางพลี จ.สมุทรปราการ 10540   ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิตและจำหน่ายรองเท้าชื่อดัง aerosoftและบริษัท ฮันทส์แมน (ประเทศไทย) จำกัด  899 หมู่ 4 นิคมอุตสาหกรรมบางปู ซอย 6 ถ.สุขุมวิท ต.แพรกษา อ.เมืองสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ 10280 ได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนในพื้นที่เกิดประสบอุทกภัยน้ำท่วม
                จึงได้รวมพลังผลิต แพลอยน้ำเพื่อแจกจ่ายให้กับ หน่วยงานภาครัฐ และเอกชน รวมทั้งพี่น้องประชาชนที่ประสบอุทกภัยน้ำท่วม  โดยมีเป้าหมายการผลิตแพลอยน้ำจำนวนมากกว่า 200 แพ
                รายละเอียดของแพ ผลิตจาก PU. ที่มีน้ำหนักเบาสามารถเคลื่อนย้ายได้ง่าย  ซึ่งมีคุณสมบัติที่ไม่จมน้ำ  มีขนาดกว้าง 122 เซ็นต์ติเมตร และยาว 244 เซ็นต์ติเมตร ด้านบนปูด้วยไม้อัด ที่ผ่านขบวนการทาหรือเคลือบด้วยสีผสมแลคเกอร์เพื่อป้องกันน้ำ  จากการทดสอบโดยให้พนักงานลงไปนั่งในแพ 8 คน  แบบสบายๆ  ขณะนี้สามารถผลิตได้จำนวนมากกว่า 30 แพ และได้เริ่มแจกจ่าย  ให้กับผู้ประสบภัยไปบ้างแล้ว
                ทั้งนี้ผู้ที่มีความประสงค์จะนำแพลอยน้ำไปใช้ประโยชน์เพื่อส่วนรวม  จะเป็นหน่วยงานภาครัฐ หรือหน่วยกู้ภัยต่างๆก็ดี หรือพี่น้องที่กำลังประสบอุทกภัยก็ดี  สามารถติดต่อได้ที่
บริษัท ซัมมิทฟุตแวร์ จำกัด  โทร 02 – 3370015 – 20    คุณ สุชาติ แย้มไสว
บริษัท ฮันทส์แมน (ประเทศไทย) จำกัด โทร 02 - 7094466  คุณ นรากานต์  พัวพัน



          ประมวลภาพผู้บริหารฝ่ายเคมีของ  aerosoft  คือ คุณ  สุชาติ  แย้มไสว    กำลังให้กำลังใจแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา







                        เจ้าหน้าที่จาก HUNTSMAN กำลังขมักเขม้นเทน้ำยาลงสู่แบบตัวอย่างโดยมีสาวๆจาก   aerosoft ยืนเป็นกำลังใจ  ช่วยมองแบบด้วยนะ ....    เดี๋ยวเคมีล้นไปโดนสาวๆ aerosoft เข้า แล้วกำลังใจจะหายไป...หมด




            พนักงานของบริษัท  aerosoft  ต่างก็ให้ความร่วมแรงร่วมใจกันเต็มที่







aerosoft เสื้อชูชีพ

             เป็นอีกหนึ่งโครงการ ที่ผู้บริหารระดับสูงของ บริษัทซัมมิทฟุตแวร์ จำกัด ได้เล็งเห็นความสำคัญต่อชีวิตของผู้กำลังเดือดร้อน และหน่วยอาสาสมัคร เนื่องจากอุทกภัยน้ำท่วมในครั้งนี้ จึงได้มอบหมายให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทำการทดลองผลิตเสื้อชูชีพ (เสื้อช่วยชีวิต) สำหรับแจกจ่ายให้กับพี่น้องประชาชน





         คุณ สีดา  กาลพาด  ฝ่ายตรวจสอบคุณภาพรองเท้า aerosoft วันนี้ต้องทำหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพเสื้อชูชีพ  แต่รู้สึกว่าตรงกลางจะมองดูใหญ่ไปหน่อยนะ






          เช่นเดียวกันครับขอรับบริจาคได้ที่บริษัทซัมมิทฟุตแวร์ จำกัด และบริษัท ฮันทส์แมน (ประเทศไทย) จำกัด  เท่าที่ทราบ  ตอนนี้เริ่มเข้าสู่กระบวนการผลิตเป็นรูปธรรมแล้ว 













                  ทหารเรือ  กำลังร่วมทดสอบในการผลิตเสื้อชูชีพเพื่อสร้างความมั่นใจ  ก่อนที่จะมีการผลิตออกมาแจกจ่ายอย่างเป็นทางการ






                 ในการทดสอบทางบริษัทซัมมิทฟุตแวร์ ได้นำ เสื้อชูชีพที่ได้มาตรฐานตามหน่วยงาน มาเปรียบเทียบและทำการทดสอบควบคู่กันไป  จึงรับรองได้ว่าเสื้อชูชีพที่ผลิตเพื่อแจกจ่ายให้กับผู้ประสบอุทกภัย  สามารถให้ความปลอดภัยแก่ผู้สวมใส่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ



  




        และในวันที่  19 ตุลาคม 2554 จะมีพิธีมอบแพลอยน้ำ  ให้กับกองทัพเรือไทย จำนวน 30 แพ  พร้อมเสื้อชูชีพ เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย  โดยผู้บริหารของบริษัทซัมมิทฟุตแวร์จำกัด  และผู้บริหารบริษัทฮันทส์แมน (ประเทศไทย ) จำกัด จะเป็นผู้ส่งมอบในครั้งนี้
อ่านรายละเอียดได้ที่  aerosoft และHUNTSMAN ร่วมพิธีส่งมอบแพลอยน้ำและเสื้อชูชีพ

วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2554

หลวงพ่อวัดไร่ขิง


หลวงพ่อวัดไร่ขิง
หลวงพ่อวัดไร่ขิง
            หลวงพ่อวัดไร่ขิง เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขนาดหน้าตักกว้าง 4 ศอก 2 นิ้วเศษ สูง 4 ศอก 16 นิ้วเศษ ประดิษฐานอยู่บนฐานอยู่บนฐานชุกชี 5 ชั้น เบื้องหน้าผ้าทิพย์ปูทอดลงมาองค์หลวงพ่อวัดไร่ขิงประดิษฐานเป็นพระประธานอยู่ภายในอุโบสถ หันพระพักตร์ไปทางทิศอุดร (ทิศเหนือ) ซึ่งหน้าวัดมีแม่น้ำนครชัยศรีหรือแม่น้ำท่าจีนไหลผ่าน จากหนังสือประวัติของวัดไร่ขิงได้กล่าวไว้ว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์ (พุก) ได้อัญเชิญมาจากวัดศาลาปูน โดยนำล่องมาทางน้ำด้วยการทำแพไม้ไผ่หรือที่เรียกกันว่าแพลูกบวบรองรับองค์พระปฏิมากรณ์ เมื่อถึงหน้าวัดไร่ขิงจึงได้อัญเชิญขึ้นประดิษฐานไว้ภายในอุโบสถ ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 ซึ่งเป็นวันสงกรานต์พอดีจึงมีประชาชนจำนวนมากมาชุมนุมกัน ในขณะที่อัญเชิญองค์หลวงพ่อขึ้นจากแพ สู่ปะรำพิธีได้เกิดอัศจรรย์แสงแดดที่แผดจ้ากลับพลันหายไป ความร้อนระอุในวันสงกรานต์ก็บังเกิดมีเมฆดำมืดทะมึน ลมปั่นป่วน ฟ้าคะนอง และบันดาลให้มีฝนโปรยลงมาทำให้เกิดความเย็นฉ่ำและเกิดความปิติ ยินดีกันโดยทั่วหน้า ประชาชนที่มาต่างก็พากันตั้งจิตรอธิฐานเป็นหนึ่งเดียวกัน ว่า หลวงพ่อจะทำให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข ดับความร้อนร้ายคลายความทุกข์ให้หมดไป ดุจสายฝนที่เมทนีดลให้ชุ่มฉ่ำ เจริญงอกงามด้วยธัญญาหารฉะนั้นดังนั้น วันดังกล่าวที่ตรงกับวันสงกรานต์หรือวันขึ้นปีใหม่ของคนไทย ทางวัดจึงได้ถือเป็นวันสำคัญ และได้จัดให้มีงานเทศกาลนมัสการปิดทองประจำปีหลวงพ่อวัดไร่ขิง สืบต่อมาจนถึงทุกวันนี้ตำนานหลวงพ่อวัดไร่ขิงนั้นจากคำบอกเล่าสืบต่อกันมา หรือที่เรียกว่า "มุขปาฐะ" มีหลายตำนาน ดังนี้
         ตำนานที่ 1 ครั้งเมื่อสมเด็จพระพุฒาจารย์(พุก)ชาวเมืองนครชัยศรี ได้มาตรวจเยี่ยมวัดในเขตอำเภอสามพราน ได้เข้าไปในพระอุโบสถวัดไร่ขิง หลังจากกราบพระประธานแล้ว มีความเห็นว่าพระประธานมีขนาดเล็กเกินไป จึงบอกให้ท่านเจ้าอาวาสพร้อมชาวบ้านไปอัญเชิญมาจากวัดศาลาปูนฯ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยวางลงบนแบบไม้ไผ่และนำล่องมาตามลำน้ำและอัญเชิญขึ้นประดิษฐานในพระอุโบสถ ตรงกับวันพระขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 วันสงกรานต์พอดี
          ตำนานที่ 2 วัดไร่ขิงสร้างเมื่อปีกุน พุทธศักราช 2394 ตรงกับปีสุดท้ายในรัชกาลที่ 3 ต้นปี ในรัชการที่ 4 สมเด็จพระพุฒาจารย์ (พุก)ซึ่งเป็นชาวเมืองนครชัยศรี ในขณะนั้นดำรงสมณศักดิ์พระราชาคณะที่ "พระธรรมราชานุวัตร" ปกครองอยู่ที่วัดศาลาปูนวรวิหาร จังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้กลับมาสร้างวัดที่บ้านเกิดของตนที่ไร่ขิง เมื่อสร้างพระอุโบสถเสร็จแล้วจึงได้อัญเชิญพระพุทธรูป
สำคัญองค์หนึ่งจากกรุงเก่า ( จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ) มาเพื่อประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถแต่การสร้างยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์ ท่านได้มรณภาพเสียก่อน ส่วนงานที่เหลืออยู่พระธรรมราชานุวัตร(อาจ จนฺทโชโต) หลานชายของท่านจึงดำเนินงานต่อจนเรียบร้อย และบูรณะดูแลมาโดยตลอดจนถึงแก่มรณภาพ
         ตำนานที่ 3 ตามตำนานเป็นเรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมาเกี่ยวกับมีพระพุทธรูปลอยน้ำมา 5 องค์ก็มี 3 องค์ก็มีโดยเฉพาะในเรื่องที่เล่าว่ามี 5 องค์นั้น ตรงกับคำว่า " ปัญจภาคี ปาฏิหาริยกสินธุ์โน " ซึ่งได้มีการเล่าเป็นนิทานว่า ในกาลครั้งหนึ่ง มีพี่น้องชาวเมืองเหนือ 5 คน ได้บวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาจนสำเร็จเป็นพระอริยบุคคล ชั้นโสดาบัน มีฤทธิ์อำนาจทางจิตมากได้พร้อมใจกันตั้งสัตย์อธิฐานว่า เกิดมาชาตินี้จะขอบำเพ็ญบารมีช่วยให้สัตว์โลกได้พ้นทุกข์ แม้จะตายไปแล้ว ก็จะขอสร้างบารมีช่วยสัตว์โลกให้ได้พ้นทุกข์ต่อไปจนกว่าจะถึงพระนิพานครั้งพระอริยบุคคลทั้ง 5 องค์ ได้ดับขันธ์ไปแล้ว ก็เข้าไปสถิตในพระพุทธรูปทั้ง 5 องค์จะมีความปรารถนาที่จะช่วยคนทางเมืองใต้ที่อยู่ติดแม่น้ำให้ได้พ้นทุกข์ จึงได้พากันลอยน้ำลงมาตามลำน้ำทั้ง 5 สาย เมื่อชาวบ้านตามเมืองที่อยู่ริมแม่น้ำเห็นเข้า จึงได้อัญเชิญและประดิษฐานไว้ตามวัดต่างๆ มีดังนี้
พระพุทธรูปองค์ที่ 1 ลอยไปตามแม่น้ำบางปะกง ขึ้นสถิตที่วัดโสธรวรวิหาร เมืองแปดริ้ว จังหวัดฉะเชิงเทรา เรียกกันว่า "หลวงพ่อโสธร"
พระพุทธรูปองค์ที่ 2 ลอยไปตามแม่น้ำนครชัยศรี (ท่าจีน)ขึ้นสถิตที่วัดไร่ขิงเมืองนครชัยศรี เรียกกันว่า "หลวงพ่อวัดไร่ขิง"
พระพุทธรูปองค์ที่ 3 ลอยไปตามแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นสถิตที่วัดบางพลี เรียกกันว่า "หลวงพ่อวัดบางพลี" แต่บางตำนานก็ว่า หลวงพ่อวัดบางพลีเป็นองค์แรกในจำนวน 5 องค์ จึงเรียกว่า "หลวงพ่อโตวัดบางพลี "
พระพุทธรูปองค์ที่ 4 ลอยไปตามแม่น้ำแม่กลอง ขึ้นสถิตที่วัดบ้านแหลม เมืองแม่กลอง เรียกว่า "หลวงพ่อวัดบ้านแหลม"
พระพุทธรูปองค์ที่ 5 ลอยไปตามแม่น้ำเพชรบุรี ขึ้นสถิตที่วัดเขาตะเคราเมืองเพชรบุรี เรียกว่า "หลวงพ่อวัดเขาตะเครา"
       ส่วนตำนานของเมืองนครปฐมนั้นเล่าว่า มีพระ 3 องค์ ลอยน้ำมาพร้อมกัน และแสดงปาฏิหาริย์จะเข้าไปยังบ้านศรีมหาโพธิ์ ซึ่งมีต้นโพธิ์ใหญ่อยู่ จึงได้เรียกตำบลนั้นว่า "บางพระ" พระพุทธรูป 3 องค์ลอยไปจนถึงปากน้ำท่าจีนแล้วกลับลอยทวนน้ำขึ้นมาใหม่ จึงเรียกตำบลนั้นว่า "สามประทวน" หรือ "สัมปทวน" แต่เนื่องจากตำบลที่ชาวบ้านพากันไปชักพระขึ้นฝั่งเพื่อขึ้นประดิษฐาน ณ หมู่บ้านของตน แต่ทำไม่สำเร็จ ต้องเปียกฝนและตากแดดตากลมจึงได้ชื่อว่า "บ้านลานตากฟ้า" และ "บ้านตากแดด" ในที่สุดพระพุทธรูปองค์แรกจึงยอมสถิต ณ วัดไร่ขิงเรียกกันว่า "หลวงพ่อวัดไร่ขิง" ส่วนองค์ที่ 2 ลอยน้ำไปแล้วสถิตขึ้นที่วัดบ้านแหลมจังหวัดสมุทรสงคราม เรียกว่า "หลวงพ่อวัดบ้านแหลม" และองค์ที่ 3 ลอยตามน้ำไปตามจังหวัดเพชรบุรี แล้วขึ้นสถิตที่วัดเขาตะเครา เรียกว่า "หลวงพ่อวัดเขาตะเครา"
วัดไร่ขิง
วัดไร่ขิง

         ตั้งอยู่ที่ริมแม่น้ำท่าจีน ตำบลไร่ขิง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย สร้างโดย "สมเด็จพระพุทธฒาจารย์(พุก )" มีหลวงพ่อวัดไร่ขิงซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย เป็นพระประธาน ที่ชาวนครปฐมเคารพนับถือ ระหว่างวันขึ้น13คำ ถึงแรม 3คำ เดือน5 และช่วงเทศการตรุษจีนทุกปี จะมีงานเทศกาลนมัสการปิดทองหลวงพ่อวัดไร่ขิงประจำปี ซึ่งเป็นงานใหญ่ของชาวนครปฐม เดิมเป็นวัดราษฏร์ ต่อมาจึงยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2533  วัดไร่ขิง หรือ วัดมงคลจินดาราม ตั้งอยู่ที่อำเภอสามพรานห่างจากกรุงเทพฯ 32 กม. มีทางเข้า 3 ทาง คือ ทางแยกหน้าสถานี ตำรวจโพธิ์แก้ว ทางแยกหน้าสวนสามพราน และทางแยกพุทธมณฑลสาย 5 วัดไร่ขิง เป็นวัดราษฎร์ สร้างเมื่อ พ.ศ. 2334 โดยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (พุก) เรียกชื่อวัดตามชื่อตำบล เมื่อสร้างเสร็จแล้ว ได้อัญเชิญพระพุทธรูปจากวัดศาลาปูนมาประดิษฐานไว้ที่วัดไร่ขิงด้วย ปัจจุบันชาวบ้านเรียกกันว่า หลวงพ่อวัดไร่ขิง เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 4 ศอก 2 นิ้วเศษ สูง 4 ศอก 16 นิ้วเศษ พุทธลักษณะเป็นสมัยเชียงแสน สันนิษฐานว่าเป็นฝีมือช่างสมัยไทยล้านนา และล้านช้าง ตามตำนาน เล่าว่าลอยน้ำมา และอัญเชิญขึ้นไว้ที่วัดศาลาปูน วัดไร่ขิงนี้ สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงพระราชทานนามให้ว่า วัดมงคลจินดาราม(ไร่ขิง) แต่ชาวบ้านเรียกกันเต็ม ๆ ว่าวัดมงคลจินดารามไร่ขิง จนกระทั่งเหลือแต่ชื่อวัดไร่ขิงไปในที่สุด วัดไร่ขิง เป็นวัดที่พุทธศาสนิกชนรู้จักกันดี นิยมเดินทางไปนมัสการหลวงพ่อวัดไร่ขิงกันอยู่เสมอ ทุกวันอาทิตย์จะมีตลาดนัดอาหารและผลไม้จำหน่ายหน้าวัด และที่บริเวณริมแม่น้ำหน้าโบสถ์จะมีชาวสวนพายเรือนำผลไม้มาขาย และบริเวณริมแม่น้ำหน้าโบสถ์นี้เป็นเขตอภัยทาน ร่มรื่น มีปลาสวายตัวโตนับพันอาศัยอยู่ นักท่องเที่ยวสามารถซื้อขนมปังเลี้ยงปลาได้ และยังมีก๋วยเตี๋ยวเรือ (หมู) รสเลิศขายทุกวัน นอกจากนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์ของเก่า รวบรวมของเก่าเช่นถ้วยชาม หนังสือเก่า ซึ่งชาวบ้านนำมาถวายวัดจัดแสดงไว้ ในระหว่างวันขึ้น 13 ค่ำ ถึงแรม 3 ค่ำเดือน 5 ของทุกปี ทางวัดไร่ขิงจะจัดงานนมัสการหลวงพ่อวัดไร่ขิงขึ้น มีการออกร้านและมหรสพมากมาย

ประวัติ

            คนรุ่นเก่าได้เล่าสืบต่อกันมาว่า วัดไร่ขิงสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2394 โดยพระธรรมราชานุวัตร (พุก) ชาวเมืองนครชัยศรี มณฑลนครชัยศรี (ต่อมา ท่านได้รับสถาปนาสมศักดิ์เป็น สมเด็จพระพุฒาจารย์ (พุก)) ในขณะนั้นท่านดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดศาลาปูนวรวิหาร ท่านได้กลับมาสร้างวัดไร่ขิงและวัดดอนหวาย ซึ่งเป็นบ้านโยมบิดาและมารดาของท่าน แต่ยังไม่แล้วเสร็จ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (พุก) มรณภาพเมื่อปี วอก พ.ศ. 2427 รวมสิริอายุ 91 ปี พระราชทานเพลิงศพ เมื่อวันที่ 9 เมษายน ตรงกับวันพฤหัสบดี แรม 10 ค่ำ เดือน 5 ปีระกา พ.ศ. 2428 ในการนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร มาพระราชทานเพลิงศพ ณ เมรุพิเศษวัดศาลาปูน ดังนั้น งานทุกอย่างจึงตกเป็นภาระของพระธรรมราชานุวัตร (อาจ จนฺทโชโต) เจ้าอาวาสวัดศาลาปูนรูปที่ 6 ซึ่งเป็นหลานชายของท่าน”  แต่ไม่ทราบว่าท่านกลับมาปฏิสังขรณ์วัดเมื่อใดหรือท่านอาจจะมาในปี พ.ศ. 2453 ตอนที่ท่านได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระธรรมราชานุวัตรก็อาจเป็นไปได้ ซึ่งขณะนั้นท่านมีอายุ 75 ปี และเป็นเจ้าอาวาสวัดศาลาปูนรูปที่ 6 ต่อจากสมเด็จพุฒาจารย์ (พุก) อย่างไรก็ตาม ในการปฏิสังขรณ์วัดไร่ขิงในสมัยท่านอยู่ประมาณปี พ.ศ. 2427 หรือ 2453 เป็นต้นมา
            สำหรับชื่อวัดนั้น มีเรื่องเล่าว่า พื้นที่วัดในอดีตมีชาวจีนปลูกบ้านอาศัยอยู่กันเป็นจำนวนมากและนิยมปลูกขิงกันอย่างแพร่หลาย จนเป็นที่มาของชื่อหมู่บ้านหรือชุมชนในแถบนี้ว่า ไร่ขิงต่อมา เมื่อมีชุมชนหนาแน่นมากยิ่งขึ้นจึงได้มีการสร้างวัดเพื่อเป็นจุดศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้าน ดังนั้น วัดจึงได้ชื่อตามชื่อของหมู่บ้านหรือชุมชนว่า วัดไร่ขิง
           ในราวปี พ.ศ. 2446 สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ เสด็จตรวจเยี่ยมวัดในเขตอำเภอสามพราน สมเด็จฯ ได้เสด็จมาที่วัดไร่ขิง และทรงตั้งชื่อวัดใหม่ว่า วัดมงคลจินดารามทั้งทรงใส่วงเล็บชื่อเดิมต่อท้ายจึงกลายเป็น วัดมงคลจินดาราม (ไร่ขิง)เมื่อเวลาผ่านพ้นมานานและคงเป็นเพราะความกร่อนของภาษาจีนทำให้วงเล็บหายไป คงเหลือเพียงคำว่า ไร่ขิงต่อท้ายคำว่า มงคลจินดารามจึงต้องเขียนว่า วัดมงคลจินดาราม-ไร่ขิงแต่ในทางราชการยังคงใช้ชื่อเดิมเพียงว่า วัดไร่ขิงสืบมาจนทุกวันนี้

การเดินทางเข้าวัดไร่ขิง

รถโดยสารประจำทาง สาย 84 (ยูโร 2) วัดไร่ขิง - คลองสาน (สถานีรถไฟฟ้า BTS วงเวียนใหญ่)
รถโดยสารประจำทาง สาย 556 (ยูโร 2) วัดไร่ขิง - สถานีรถไฟฟ้า แอร์พอร์ตลิงก์ มักกะสัน
รถโดยสารประจำทาง จากสถานีขนส่งสายใต้ สายเก่า กรุงเทพฯ-นครปฐม กรุงเทพฯ-ราชบุรี กรุงเทพฯ-บางลี่ กรุงเทพฯ-สุพรรณบุรี ลงปากทางเข้าวัดไร่ขิง แล้วต่อรถโดยสารประจำทางเข้าไปยังวัดไร่ขิง