วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2555

งานยอยศยิ่งฟ้าอยุธยามรดกโลกและงานกาชาด ประจำปี 2555


งานยอยศยิ่งฟ้าอยุธยามรดกโลกและงานกาชาด ประจำปี 2555


การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กรมศิลปากรและองค์การบริหารส่วนจังหวัดพระนครศรีอยุธยา  ร่วมกันจัดงานยอยศยิ่งฟ้าอยุธยามรดกโลกและงานกาชาด ประจำปี 2555ระหว่างวันที่ 7 ธันวาคม 2555 - 16 ธันวาคม 2555  ณ บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา  เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองที่องค์การยูเนสโกแห่งองค์การสหประชาชาติได้ประกาศขึ้นทะเบียนอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม ตั้งแต่ปี 2534
ภายในงานมีกิจกรรมที่สร้างความตื่นตาตื่นใจมากมาย เช่น การบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา การจัดแสดงและจำหน่ายสินค้า หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ของดี 16 อำเภอ การแสดงศิลปวัฒนธรรมประเพณี และเอกลักษณ์ไทย การออกร้านกาชาด สลากกาชาดการกุศล และกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย การจำลองตลาดย้อนยุคโดยใช้เงินพดด้วงแลกซื้ออาหารคาว-หวาน และชมการแสดงแสง-เสียง ยิ่งใหญ่ตระการตา ชุด "ยอยศยิ่งฟ้าอยุธยา มหานคราเกริกเกรียงไกร" 10 วัน 10 คืน บัตรเข้าชมราคา 200 บาท และ 500 บาท
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่
ที่ทำการปกครองจังหวัด (เสมียนตราจังหวัด) ศาลากลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ชั้น 2 อาคาร 4 ชั้น โทร. 035-33-6563
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานพระนครศรีอยุธยา โทร. 035-24-60767

-->

วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วัดใหญ่ชัยมงคล

วัดใหญ่ชัยมงคล
ในช่วงวันที่ 21 – 23 ตุลาคม 2555  บริษัทฯ ได้หยุดงานติดต่อกันสามวัน  ได้มีโอกาสเป็นไกด์พาชาวพม่าจำนวน 1 รถบัส  ประมาณ 70 กว่าคนไปทัศนาจรเมืองเก่าอยุธยา ในวันที่ 22   ตุลาคม  โปรแกรมสถานที่แรกคือวัดพนันเชิง   วัดใหญ่ชัยมงคล   อุทยานประวัติศาสตร์อยุธยาวัดมหาธาตุ (วัดที่พบเศียรพระพุทธรูปหินทรายในรากต้นโพธิ์)  ปิดท้ายด้วยตลาดน้ำอโยธยา ซึ่งก็เป็นที่ชื่นชอบของชาวพม่า  เพราะได้มีโอกาสมากราบขอขมาในสิ่งที่บรรพชนของเขาได้กระทำไว้กับวัดวาอาราม  ส่วนข้อมูลที่ท่านจะอ่านต่อไปนี้เป็นข้อมูลที่ผมได้มาจากแผ่นพับจากทางวัดใหญ่ชัยมงคล
ประวัติวัดใหญ่ชัยมงคล
วัดใหญ่ชัยมงคลมีประวัติที่ยาวนานมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าอู่ทอง ทรงสร้างขึ้นในปี 1900  เพื่อถวายแด่พระสงฆ์ คณะป่าแก้วที่ได้ไปบวชเรียนมาจากสำนักสมเด็จพระวันรัตมหาเถระ ในลังกาทวีปและถวายนามว่า วัดป่าแก้วพระสงฆ์ปฏิบัติธรรมบำเพ็ญภาวนาเป็นสำคัญ พระเจ้าอู่ทอง จึงแต่งตั้ง สมเด็จพระวันรัตเป็นสมเด็จพระสังฆราชฝ่ายขวา คู่กับ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ซึ่งเป็นสมเด็จพระสังฆราชฝ่ายซ้าย วัดป่าแก้วแห่งนี้ จึงได้ชื่อว่า วัดเจ้าพญาไทซึ่งหมายถึงวัดพระสังฆราช  แต่ด้วยวัดนี้เป็นพระอารามหลวง มีบริเวณกว้างขวาง และมีสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตรวมทั้ง พระเจดีย์ชัยมงคล เจดีย์องค์ใหญ่ที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงสร้างขึ้น  ชาวบ้านจึงเรียกวัดนี้ว่า วัดใหญ่ชัยมงคล มาจนทุกวันนี้
พระเจดีย์ชัยมงคล
พระเจดีย์ชัยมงคล นับเป็นปูชนียวัตถุอันสำคัญยิ่งอย่างหนึ่งของชาติไทย เพราะเป็นนิมิตรหมายของเอกราชของชาติ เป็นเครื่องเตือนใจให้ระลึกถึงความกล้าหาญเสียสละ ที่สมเด็จพระมหาวีรราชเจ้าและวีรบุรุษของชาวไทยได้มีมาในอดีต อันเป็นผลตกทอดมาถึงคนไทยทุกคนในปัจจุบันนี้ในวิถีแห่งชีวิตทุกทาง นอกจากนั้นยังเป็นเครื่องหมายแห่งชาวไทยทั้งมวล ที่ได้ร่วมมือกันกอบกู้เอกราชของชาติและธำรงไว้ซึ่งเอกราชนั้นตลอดมา เป็นสิ่งเตือนใจให้คนรุ่นหลังได้ทำกิจการงานทั้งปวงตามหน้าที่ของแต่ละบุคคล โดยสุจริตและความพากเพียร เพื่อให้ชาติไทยนั้นได้อยู่ได้โดยเสรีและเป็นปกติสุข
                พระเจดีย์ชัยมงคล ประดิษฐานอยู่ในวัดใหญ่ชัยมงคล ซึ่งอยู่ฝั่งตะวันออกของเกาะเมือง อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นเจดีย์ก่อด้วยอิฐถือปูน ทรงลังกาองค์ใหญ่ที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงสร้างขึ้น เพื่อเฉลิมพระเกียรติในการชนะสงครามยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาแห่งเมืองหงสาวดี
พระอุโบสถ
เดิมสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอู่ทอง ใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมกรรมฐานรวมทั้งประกอบพิธีกรรมต่างๆ  พระอุโบสถหลังนี้เคยถูกใช้เป็นสถานนัดพบของเหล่าขุนนาง  นำโดยขุนพิเรนเทพและพรรคพวกซึ่งมาเสี่ยงเทียน เพื่อจะเป็นนิมิตหมายในการปราบขุนวรวงศาธิราชและท้าวศรีสุดาจันทร์
                ภายในอุโบสถมีพระพุทธรูปสำคัญหลายองค์  ส่วนที่เป็นองค์พระประธาน  สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอู่ทอง เป็นพระพุทธรูปที่ปั้นด้วยหินทรายตลอดทั้งองค์  ส่วนที่เป็นจีวรถูกลงรักปิดทองประดับแก้ว ส่วนที่ไม่ใช่จีวรนั้นว่างเว้นเห็นเป็นเนื้อหินทรายที่สวยงาม ลักษณะเป็นมารปางวิชัย
วิหารพระพุทธไสยาสน์
                เมื่อเดินผ่านประตูทางเข้าด้านใน จะพบพระวิหารพระพุทธไสยาสน์อยู่ทางซ้ายมือ ภายในประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ ซึ่งสร้างขึ้นในแผ่นดินของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เพื่อใช้เป็นที่สักการบูชา และปฏิบัติธรรมกรรมฐาน พระพุทธรูปองค์นี้ได้รับการปฏิสังขรณ์ใหม่ในปี พ.ศ. 2508  ส่วนรูปแบบอาคารมีลักษณะเป็นวิหาร  สันนิษฐานว่ามีประตูทางเข้าอยู่ 2 ช่องทางด้านทิศเหนือ ภายในอาคารมีหน้าต่างสี่เหลี่ยม 4 บาน เสาของอาคารมีลักษณะกลมปรากฏร่องรอยบัวหัวเสาที่ประดับอยู่บนยอด องค์พระประธานของวิหารหันหน้าไปทางทิศตะวันออกอันเป็นด้านหน้าของวัด
การเดินทางไปยังวัดใหญ่ชัยมงคล
รถยนต์
                เดินทางจากกรุงเทพฯ ใช้ถนนพหลโยธิน ทางรังสิต  ถึงทางต่างระดับวังน้อยให้แยกซ้ายไปทางนครสวรรค์ จนถึงทางต่างระดับอยุธยา  เลี้ยวซ้ายตรงสี่แยกเข้าอยุธยา  ตรงเข้ามาจะพบวงเวียนเจดีย์วัดสามปลื้ม(เจดีย์กลางถนน) เลี้ยวซ้ายไปอีก 1.5 กิโลเมตร วัดใหญ่ชัยมงคลจะอยู่ทางซ้ายมือ
รถประจำทาง
                 ขึ้นรถที่สถานีขนส่งสายเหนือ ลงที่แยกวงเวียนเจดีย์ แล้วต่อรถมอเตอร์ไซต์รับจ้างเข้าวัดใหญ่ชัยมงคล
รถไฟ
                ลงที่สถานีรถไฟอยุธยา แล้วต่อด้วยรถตุ๊ก ตุ๊ก เข้าวัดใหญ่ชัยมงคล

วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555

ตลาดน้ำอโยธยาตอนสาม

ตลาดน้ำอโยธยาตอนสาม 
อีกหนึ่ง Trip ที่ได้พาครอบครัวและเพื่อนๆ รวมทั้ง Mr. Lino ชาวอิตาลี่ มาเที่ยวชม
ตลาดน้ำอโยธยาแห่งนี้ ซึ่งก็เป็นที่ชื่นชอบของทุกๆ คน
Mr.Lino ชอบปลาช่อนย่างเกลือ
ติดค้างกันเสียนานว่าจะนำเสนอตลาดน้ำอโยธยาตอนสาม  วันนี้ขอเสนอตลาดน้ำอโยธยาตอนสาม ซึ่งเป็นตอนสุดท้าย ที่จริงแล้วผมเองก็อยากเขียนตอนเดียวให้จบๆ ไป แต่บังเอิญผมเป็นคนคลั่งไคล้ตลาดน้ำโบราณ  ของโบราณ  บ้านโบราณ  เคยท่องเที่ยวตลาดน้ำมาหลายแห่ง  มีความประทับใจที่สุดก็ที่ตลาดน้ำอโยธยานี่แหละ  โดยเฉพาะอยุธยานั้นเคยเป็นเมืองหลวงของไทยเรา และมีประวัติที่ยาวนาน ไม่มีคนไทยคนไหนไม่รู้จักกรุงศรีอยุธยา  ตลาดน้ำอโยธยา ปัจจุบันมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นแรงดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวหลงใหลในบรรยากาศ อาทิที่  หมู่บ้านปางช้างอโยธยา




หลังจากพักกินข้าวเที่ยวเสร็จไปนั่งให้กระเพาะย่อยที่ลานแสดงศิลปะวัฒนธรร







หมู่บ้านปางช้างอโยธยา Ayothaya Elephant Village
หมู่บ้านปางช้างอโยธยา ตั้งอยู่ที่ 65/12 หมู่ 7 ตำบลไผ่ลิง อำเภอพระนครศรีอยุธยา    บริการนั่งเกวียนเทียมวัวชมโบราณสถาน  และการแสดงโชว์งูทุกวัน เวลา 08.00-17.00น.    ครั้งหนึ่งในชีวิตกับประสบการณ์ครั้งสำคัญ... ที่คุณจะได้มีโอกาสนั่งบนหลังช้างลุยน้ำ และชื่นชมธรรมชาติในบรรยากาศแบบกรุงเก่า  ชมโบราณสถานและโบราณวัตถุ เข้าป่า ชมนกป่าหลากหลายชนิด  ชมโบราณสถาน ไหว้พระวัดมเหยงคณ์ ที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองอยุธยามากว่า  600 ปี  ที่เดียวเท่านั้นที่คุณจะได้ร่วมผจญภัย และเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์อันทรงคุณค่าอย่างแท้จริง... สอบถามข้อมูลโทร. 0-3588-1678 โทรสาร 0-35881699
นอกจากนี้คุณจะได้ชมความน่ารักของเสือ  สัมผัสความประทับใจด้วยตัวคุณเองสนุกสนานกับการหยอกล้อถ่ายรูป และชมการแสดงของเสือ
วัดมเหยงคณ์ อยุธยา
วัดมเหยงคณ์ ในสมัยกรุงศรีอยุธยานั้นมีความเจริญรุ่งเรืองและมีความสำคัญ และเป็นพระอารามหลวง ปัจจุบันกลายเป็นวัดร้างไป ภายหลังกรุงศรีอยุธยาแตก และถูกพม่าเผาวัดเมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐ วัดนี้ตั้งอยู่ ณ หมู่ที่ ๕ ตำบลหันตรา อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อยู่นอกเขตเมืองมาทางทิศตะวันออก
ตลาดนานาชาติอโยเดีย
ตลาดนานาชาติอโยเดีย   ตลาดโยเดียจำแลงมาจากสมัยที่ไทยเสียกรุงแล้วถูกพม่ากวาดต้อนไปยังหงสาวดี มีชุมชนชาวไทยเล็ก ๆ  ที่ชาวพม่าเรียกขานกันว่า โยเดียมาจากคำว่า อโยธยา นั่นเอง  ปัจจุบันเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ของจังหวัดอยุธยาตั้งอยู่บริเวณเดียวกับตลาดน้ำอโยธยา
ตลาดนานาชาติอโยเดีย   เป็นตลาดอินเทรน ตกแต่งสวยงาม  ด้านหน้าตลาดจะมีแกะให้นักท่องเที่ยวได้ให้อาหารเลี้ยงแกะ ส่วนในเรื่องของสินค้าที่วางจำหน่ายนั้น ตลาดนานาชาติอโยเดียจะมีสีสัดที่สดใส   ส่วนตลาดน้ำอโยธยานั้น  เป็นแนวย้อนยุค  ดังนั้นใครชอบแนวไหนเลือกซื้อเลือกหาได้ตามใจชอบ

วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

วัดมหาธาตุ อยุธยา Wat Maha That Ayutthaya

วัดมหาธาตุ อยุธยา Wat Maha That  Ayutthaya
วัดมหาธาตุ พระนครศรีอยุธยา  เป็นหนึ่งในวัดที่อยู่ในเขต อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ซึ่งตั้งอยู่ริมบึงพระรามด้านตะวันออก  หรืออยู่ใกล้กับวัดราชบูรณะ  เป็นวัดที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้างขึ้นเป็นพระอารามหลวง  เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ที่แสดงความชอบธรรมทั้งทางโลก (ราชอาณาจักร)และทางธรรม ( ศาสนาจักร)   ตามธรรมเนียมของการสร้างวัดมหาธาตุที่เริ่มขึ้นที่เมืองนครศรีธรรมราชก่อน แล้วเป็นตัวอย่างแก่อาณาจักรอื่นต่อมา เช่น เชียงใหม่  หริภุญชัย  ลำปาง  ศรีสัชนาลัย  พิษณุโลก  ละโว้  นครพนม  สุพรรณบุรี  นครปฐม  เพชรบุรี  และไชยา


พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา  ฉบับหลวงประเสริฐ  กล่าวว่า  สถาปนาวัดมหาธาตุ เมื่อ พ.ศ. 1917  ในรัชสมัย  สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1  (ขุนหลวงพระงั่ว) คงสร้างไม่เสร็จ  ต่อมาสมเด็จพระราเมศวร ทรงศิล ณ. พระราชวังเดิม ( วัดพระศรีสรรเพชญ์)   เพลา 10 ทุ่ม  ทรงทอดพระเนตรไปทางทิศบูรพา ทรงเห็นพระบรมสารีริกธาตุเปล่งแสงสว่างลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ชั่วอึดใจ แล้วก็หายไปในความมืด จึงโปรดให้สร้างพระปรางค์มหาธาตุบริเวณที่ทรงอดพระเนตร  สูง 38 เมตร  เป็นศูนย์กลางของเมือง และยังเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช (เจ้าคณะใหญ่ฝ่ายคามวาสี)
วัดมหาธาตุ มีพระปรางค์บริวารรวม 5 องค์  ตรงกลางเป็นปรางค์ประธาน มียอดนพศูลสูง 6 เมตร  มีพระปรางค์ทิศทั้ง 4 องค์  ที่บันไดถึงซุ้มองค์พระมหาธาตุหลังพนักบันได มีนาคราชตัวโตเท่าลำตาลเลื้อยลงมาแผ่พังพอน ตรงบัลลังก์ทั้ง 4 มุม  มีรูปครุฑ  จตุโลกบาล  โทวาริก  รากษส  พิราวะ  และยักษ์
ในสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ( พ.ศ. 2153 – 2171 )   พระปรางค์ประธาน ได้พังลงมาถึงชั้นครุฑ  ต่อมาได้บูรณปฏิสังขรณ์ อีก ครั้ง   ในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง พ.ศ. 2176  และสมัยพระบรมโกศ เมื่อ พ.ศ.2275 – 2301 
พ.ศ. 2309  สมเด็จพระสังฆราชสิ้นพระชนม์  ได้ตั้งศพไว้ที่วัดมหาธาตุ  ยังไม่ทันปลงศพ ได้อัญเชิญ พระเทพมุนี วัดกุฏิดาว  เป็นพระสังฆราชอยู่ได้ 7 เดือน ก็สิ้นพระชนม์อีก  ได้ตั้งศพคู่กัน  ก่อนที่กรุงศรีอยุธยาจะถูกพม่าตีแตกไม่นาน  มีอีกา 2 ตัว  ตีกันแล้วบินถลาลงถูกยอดเจดีย์เสียบอกตาย  ลือกันว่าจะเกิดลางร้าย
สมัยรัชกาลที่ 3  พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้อัญเชิญ  พระพุทธรูปคันธารราฐประทับนั่งห้อยพระบาทไปประดิษฐาน ณ. วัดหน้าพระเมรุ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  จนถึงทุกวันนี้
วันที่  20 – 25 สิงหาคม พ.ศ. 2499  กรมศิลปากรได้ขุดกรุพบเครื่องทองและพระบรมสารีริกธาตุ  จำนวน  22  รายการ ( 66 ชิ้น ) สิ่งของดังกล่าวได้เก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา อยุธยา
เศียรพระพุทธรูปหินทราย เป็นพระพุทธรูปหินทรายเหลือแต่ส่วนเศียร  สำหรับองค์พระนั้นหายไป เป็นเศียรพระพุทธรูปศิลปะอยุธยา วางอยู่ในรากต้นโพธิ์ข้างวิหารราย

                ปัจจุบันวัดมหาธาตุได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะ เศียรพระพุทธรูปหินทราย ที่ถูกห่อหุ้มด้วยรากของต้นโพธิ์ ภายในวัดมหาธาตุ เป็นที่ทอปฮีตติดเว็บ ดังระดับโลก (Tripadvisor ) ซึ่งเชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของยูเนสโก http://whc.unesco.org/en/list/576  เมื่อปี พ.ศ. 2553  เป็นต้นมา  ทำให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติต่างหลั่งไหลเข้ามาเที่ยวชม  เนื่องจากเป็นสิ่งที่แปลกตา จึงได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว และเศียรพระพุทธรูปหินทรายกลายเป็นที่นิยมถ่ายภาพของนักท่องเที่ยว  ถือว่าเป็นอันซีนอินไทยแลนด์  เมื่อก่อนหน้านี้ผมเองก็คิดว่าภาพพระพุทธรูปหินทรายนี้เกิดขึ้นที่ประเทศอินเดีย มาทราบทีหลังว่าเป็นสมบัติล้ำค่าของไทยเรานี่เอง ทั้งนี้ผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าไปสำรวจที่ อุทยานประวัติศาสตร์อยุธยา ณ. วัดมหาธาตุ  อยู่ข้างๆ กับวัดราชบูรณะ และได้พยายามหาข้อมูลของเศียรพระพุทธรูปหินทรายในรากต้นโพธิ์  ซึ่งในช่วงก่อนที่อยุธยาจะได้รับการรับรองขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของกรมศิลปกร  ในปีค.ศ. 1963 ทางจังหวัดได้มีการเตรียมสถานที่เพื่อการสำรวจ  จากการถากถางปรับพื้นที่ได้พบชิ้นส่วนพระพุทธรูปหินสลักจำนวนหนึ่ง จึงเก็บรวบรวมไว้โคนต้นไม้ แล้วพยายามหาที่มาที่ไป โดยรวบรวมปะติดปะต่อเป็นองค์ได้บ้าง มีแต่เศียรพระองค์นี้ที่หาที่มาไม่ได้เพราะขนาดไม่พอดีกับชิ้นส่วนอื่นที่พบ จึงหาที่เหมาะสมวางไว้ เพื่อหลีกเลี่ยงการเดินผ่านไปมาของผู้คนที่มาชมสถานที่ ซึ่งเป็นสิ่งไม่งามสำหรับชาวพุทธ อนึ่งในบริเวณนี้ส่วนมากจะเป็นต้นพุทรา ต้นโพธิ์จึงเป็นสถานที่เหมาะสมที่สุด เพราะประวัติของพระพุทธเจ้าท่านยังตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์  ด้วยเจตนาเดิมคือเพียงเพื่อพักรอการหาที่เหมาะสมกว่า หลังจากการขึ้นทะเบียนเมื่อปี 1965 ก็ไม่มีใครคิดจะย้ายเศียรนี้อีก จนรากโพธิ์เริ่มโอบล้อมเศียรพระพุทธรูปแรกๆ ก็พอขยับได้ นานนานวันเข้าก็ยิ่งแน่นจนไม่สามารถขยับได้
แหล่งที่มา : หนังสือกรุงศรีอยุธยา ราชธานีไทย เล่ม 3
การเดินทางไปวัดมหาธาตุ อยุธยา
1. โดยรถยนต์ส่วนตัว
จากกรุงเทพฯ วิ่งเข้าเส้นทางตัวเมืองอยุธยาผ่านวงเวียนเจดีย์ ( ขวามือจะไป ตลาดน้ำอโยธยา ซ้ายมือไปวัดใหญ่ชัยมงคล ) ให้ตรงไป แล้วข้ามสะพานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชตรงไปจนถึงสี่แยกไฟ แดงที่ 2 เลี้ยวขวาตรงไปไม่ไกลนัก ผ่านบึงพระราม จะเห็นวัดมหาธาตุอยู่ทางซ้ายมือ เปิดให้เข้าชมทุก วันตั้งแต่เวลา 08.3016.30 น. หมายเหตุ ตั้งแต่ เวลาประมาณ 19.30น.-21.00น. จะมีการส่องไฟชมโบราณสถาน
2. โดยรถสาธารณะ
จากสถานีหมอชิตใหม่ มีบริการรถโดยสารธรรมดาและรถโดยสารปรับอากาศไปจังหวัดพระนครศรีอยุธยาทุกวัน วันละ หลายเที่ยว ทั้งรถโดยสารปรับอากาศชั้น 1 กรุงเทพฯ-พระนครศรีอยุธยา และรถโดยสารปรับอากาศชั้น 2 กรุงเทพฯ-ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร-พระนครศรีอยุธยา สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0 2936 2852-66 หรือที่เว็บไซต์ www.transport.co.th หรือรถตู้โดยสารจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิและฟิวเจอร์ปาร์ค รังสิต นั่งรถมาลงสุดสายจาก นั้นต่อรถมอเตอร์ไซต์รับจ้างหรือรถท้องถิ่นประจำทางไปยังวัดมหาธาตุ

วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ตลาดน้ำอโยธยา ตอนสอง Ayothaya Floating Market

-->


ตลาดน้ำอโยธยา ตอนสอง Ayothaya Floating Market
วันนี้เป็นวันแม่แห่งชาติ วันที่  12 สิงหาคม 2555  ได้ไปทำบุญถวายผ้าป่าสามัคคี  และเลี้ยงอาหารเด็กกำพร้าที่วัดตาลเจ็ดช่อ จังหวัดอ่างทอง  หลังจากนั้นขากลับได้มีความตั้งใจว่าจะไปเที่ยวชมตลาดน้ำอโยธยาเพื่อเก็บภาพมาฝาก  เพราะคราวที่แล้วเวลาน้อยเลยได้ภาพไม่สวยเท่าที่ควร เที่ยวนี้ตั้งใจเจาะลึกรายละเอียดตลาดน้ำอโยธยา
เริ่มต้นจากข้อมูลที่ได้คือ แผ่นพับประชาสัมพันธ์ของตลาดน้ำอโยธยา ตลาดน้ำหมู่บ้านปางช้างอโยธยาหรือที่หลายคนเรียกว่า ตลาดน้ำอโยธยา ตั้งอยู่บริเวณหมู่บ้านปางช้าง  ใกล้ๆ กับวัดมเหยงคณ์  ตำบลไผ่ลิง อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  ไม่ไกลจากกรุงเทพมหานครมากนัก


น้องใบโพธิ์ และใบไทร
ตลาดน้ำอโยธยา มีพื้นที่ประมาณ  70 ไร่ นับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทย ที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา  ก่อตั้งขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ ที่จะให้สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวและศึกษาเชิงอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทยคงตามรูปแบบตลาดน้ำสมัยอยุธยา ทั้งด้านการแต่งกาย สถาปัตยกรรมที่งดงาม และคงเอกลักษณ์ขนบธรรมเนียมประเพณี การละเล่น และการแสดงพื้นบ้าน ของกินของใช้ในยุคเก่า  วิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบไทยๆ ที่เรียบง่าย  นับเป็นจุดศูนย์รวมนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่จะได้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศ และทัศนียภาพอันงดงามตามแบบฉบับของคนไทย  นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมตลาดเพื่อชิมอาหารรสชาติอร่อย หรือเลือกซื้อของกินของใช้กลับไปเป็นของฝาก จากร้านที่ตั้งเรียงรายอยู่ในเรือนไทยอันงดงามรอบตลาดน้ำอโยธยา
นอกจากนี้ยังมีจุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของตลาดน้ำอโยธยาแห่งนี้ คือการที่นำชื่อตลาดที่สำคัญในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา   มาตั้งเป็นชื่ออาคาร สถานที่เพื่อให้ผู้มาเยือน ได้รู้จักสินค้าของแต่ละอำเภอ และสามารถจดจำชื่อตลาดต่างๆ ของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้เป็นอย่างดี อาทิ โซนตลาดเจ้าพรหม  โซนตลาดเสนา  ตลาดนครหลวง เป็นต้น
สัมผัสตลาดน้ำโบราณ  มนต์เสน่ห์แห่งวิถีชีวิตแบบไทยๆ ได้ที่ตลาดน้ำอโยธยา ซึ่งจะสร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวอย่างไม่รู้ลืม ตลาดน้ำอโยธยาเปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 10:00 น. – 20:00 น.
กิจกรรมที่น่าสนใจ
-          นั่งเรือชมบรรยากาศตลาดน้ำ
-          เดินชมและถ่ายภาพตามมุมและร้านต่างๆ ที่น่าสนใจ
-          แวะชิมอาหารรสชาติอร่อย และซื้อของฝากกลับบ้าน
-          ขี่ช้างชมโบราณสถาน ซึ่งอยู่โซนเดียวกับตลาดน้ำ
-          ชมการแสดงพื้นบ้านและกิจกรรมต่างๆ ที่ลานแสดงตลาดน้ำอโยธยา ซึ่งอยู่บนเกาะกลางน้ำ  และการแสดงจากสำนักดาบไทยพุทไธสวรรย์
-          นอกจากนี้ ท่านยังสามารถเที่ยวชมตลาด อโยเดีย ตลาดนานาชาติ ซึ่งกำลังเปิดใหม่ติดกับปางช้าง

           ท่าเรือหัวรอ เดี๋ยวผมจะพาทุกท่านนั่งเรือชมริมฝั่งตลาดน้ำอโยธยา ว่าแล้วซื้อตั๋วลงเรือกันดีกว่าครับ ค่าตั๋วผู้ใหญ่ 20  บาท เด็ก 10 บาท ครับ  ก่อนลงเรือจะมีบริการถ่ายรูปเป็นหมู่คณะฟรีครับ จากเจ้าหน้าที่ตลาดหัวรอ แต่เป็นรูปขนาดน่าร๊าก...น่ารัก 1 นิ้ว x 2 นิ้ว  แต่ถ้าคุณสนใจมีภาพขนาด 5 นิ้ว x 7 นิ้ว  พร้อมใส่กรอบโดยมีวิวตลาดน้ำอโยธยาเป็นแบล็คกราวน์ สวยครับ 100  บาท

บรรยากาศภายในเรือครับ  ใบไทรหลานสาวของผมครับกำลังน่ารักน่าชัง ส่วนคนที่ใส่แว่นภรรยาผมเอง  เดี๋ยวเราไปดูรอบๆริมน้ำ ว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง
เป็นเกาะกลางน้ำของตลาดน้ำอโยธยา  เป็นสถานที่สำหรับทำบุญตักบาตร 9 วัด และ ด้านในถัดไปจะเป็นลานแสดงวัฒนธรรมต่างๆ ผมชอบการต่อสู้แบบไทยๆ มีมวยไทยโบราณ  การแสดงการต่อสู้ดาบสองมือจากสำนักเดียวกับ ขุนศึก “ 

















เป็นอย่างไรครับเบื่อกันหรือยัง?    ถ้ายังไม่เบื่อมี ตลาดน้ำอโยธยา ตอนสาม ครับติดตามชมกันได้ จะพาไปดู       หมู่บ้านปางช้างอโยธยา  ขี่ช้างชมโบราณสถานวัดมเหยงคณ์  และตลาดนานาชาติ อโกเดีย

วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ตลาดน้ำอโยธยา ตอน 1 Ayothaya Floating Market


หลังจากได้แวะเที่ยวชม อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาถึงบ่ายแก่ๆ  ก็ได้เวลาออกเดินทางต่อจุดหมายคือตลาดน้ำอโยธยา ซึ่งมีเสียงร่ำลือจากผู้ที่ไปสัมผัสและเที่ยวชมมาว่าเป็นตลาดน้ำที่สวยงามน่าท่องเที่ยวมาก เป็นตลาดย้อนยุคแบบโบราณ  แต่กว่าจะถึงและหาที่จอดรถได้ ทั้งที่ระยะทางไม่ก็กี่กิโลเมตร จากอุทยานประวัติศาสตร์อยุธยา ถึงตลาดน้ำอโยธยา  เพราะรถติดมากๆ ในวันเข้าพรรษา (3 สิงหาคม 2555) ไม่รู้หล่ะว่า...ลานจอดรถอยู่ตรงไหน พอเห็นป้ายเขียนบอกไว้ว่าลานจอดรถทางลัดไปตลาดน้ำอโยธยา  รีบหันหัวรถเข้าเลยครับ...เสียค่าจอด 20 บาท และเดินเท้าเข้าไปตามทางไม่ไกลครับ  ใกล้จริงๆ 

พอถึงทางเข้าตลาดน้ำอโยธยา ก็จะพบหน้าบ้านของ คุณขุนเขา, ขุนนา และบุญส่ง  เจ้าของบ้านก็คอยต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างอารมณ์ดี  เปล่าชื่อที่กล่าวมาไม่ใช่คนนะครับ เป็นควายที่ทาง คณะกรรมการตลาดน้ำอโยธยา ได้ไถ่ชีวิตโค กระบือ มาจากโรงฆ่าสัตว์ และมาเลี้ยงไว้ น่ารักดี ใครอยากทำบุญไถ่ชีวิตโค กระบือเชิญเลยครับ

เดินเข้ามาอีกหน่อยก็จะเห็นป้ายชื่อ ตลาดน้ำอโยธยา ที่จำลองกำแพงเมืองเก่า ที่บ่งบอกถึงความเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของอโยธยาเมื่อครั้งอดีต รูปปั้นเด็กไทยโบราณตัวใหญ่และสะพานไม้ข้าม ร่องน้ำ ที่มีอยู่ตามมุมต่างๆ ก็ดูแล้วน่าสนใจไม่น้อย มีมุมให้ถ่ายรูปไว้เป็นระลึกให้เลือกตามใจชอบ

นอกจากนี้ยังมีร้านค้าให้เลือกซื้อเลือกหามากมายหลากหลายร้านค้า ตั้งแต่สิ้นค้าอินแทรนด์   เสื้อผ้า เครื่องประดับ กระเป๋า รองเท้า และสินค้า OTOP  เครื่องจักสาน มีดอรัญญิก งานหัตถกรรมประเภทเฟอร์นิเจอร์ ของเก่า งานศิลป์  และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ฯลฯ ร้านขายของเก่า เครื่องเงิน เครื่องประดับ งานเขียน ยาสมุนไพร สินค้า ที่ระลึก เครื่องจักสาน สินค้า  ผ้าบาติก งานไม้จากกะลา งานแจกัน   ของตกแต่งบ้าน ฯลฯ มีให้เลือกมากมาย

อันนี้เป็นกระปุก  กระป๋องออมสิน  ใครมีเงินเหลือใช้มากมายไม่มีที่จะเก็บซื้อกระปุกออมสินไม่ผิดหวัง  หรือจะเป็นของตกแต่งบ้านก็สวยงามดี จากข้อมูลที่ศึกษาดู ตลาดน้ำอโยธยามีร้านค้ามากถึง 249 ร้าน ประกอบ ด้วยเรือสินค้า ขายอาหาร 50 ลำ ตลาดนัดชุมชนวิถีไทกว่าอีก 40 ร้าน และร้านค้าต่างๆ อีก 159 ร้าน มีสะพานเดินรอบริมแม่น้ำเพื่อเลือกซื้อสินค้าตลอดแนวทางเดิน

               ภาพนี้เป็นภาพหลานสาวของผมชื่อ ใบไทร”  และลูกสาว  สองอาหลาน กำลังให้นมปลาคาร์ป ซึ่งที่ตลาดน้ำอโยธยา จะมีจุดบริการอยู่ใกล้ๆ กับสะพานข้ามคลอง ถ้าเดินเข้าไปใกล้ๆ บริเวณจะมีเสียงร้องเรียก เชิญให้นมปลาคาร์ป”  ขวดละ 20 บาท เด็กๆ ให้ความสนใจเป็นพิเศษ


เป็นภาพบรรยากาศบริเวณท่าเรือหัวรอตลาดน้ำอโยธยา  เมื่อยืนอยู่บนสะพานข้ามคลอง  ส่วนที่มองเห็นไกลๆ นั่น เป็นหมู่บ้านช้างอโยธยา  บริเวณข้างๆ หมู่บ้านช้างจะเป็นตลาดเปิดใหม่ชื่อ " ตลาดอโยเดีย"

ติดตามชม ตลาดน้ำอโยธยาตอนสอง กันต่อ ซึ่งเป็นการรวมสองทริปเข้าด้วยกัน