วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ดอยอินทนนท์. ฤดูหนาว. ฤดูไหน. ก็ไม่เหงา.

ดอยอินทนนท์. ฤดูหนาว. ฤดูไหน. ก็ไม่เหงา.

           หนาวนี้คงมีใครหลายคน. วางแผนการเดินทาง. มารับไอเย็น. ดินแดนที่อยู่กลางขุนเขาอย่างเชียงใหม่. อย่างแน่นอน.  เชียงใหม่. เป็นจังหวัดที่ไม่เคยหลับใหล. หากในฤดูหนาวนี้. ใครยังไม่ได้วางแผนจะเดินทางรับลมหนาวที่ไหน. ผมขอแนะนำเชียงใหม่. เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์แห่งสายน้ำและขุนเขา. เป็นสถานที่แรกที่คุณควรจะเลือก. ที่จะทำให้คุณได้พบกับความสุข. ความสนุกสนานและความสงบ. ของดินแดนล้านนาแห่งนี้. มีนักท่องเที่ยวเดินทางมา. เที่ยวชมตลอดทั้งปี. เพราะมีสถานที่ท่องเที่ยว. หลายรูปแบบ. ให้คุณได้เลือกสรร. เพียงคุณอยากสัมผัสธรรมชาติที่สวยงาม. ก็แค่ลองขับรถออกไปนอกเมืองสักหน่อย. คุณจะรู้สึกได้ว่า. ธรรมชาติที่สวยงาม. อยู่รอบๆตัวของคุณเอง.  เช่น. ดอยสุเทพ ,ดอยอินทนนท์ , ดอยอ่างขาง รวมทั้งน้ำตกต่างๆ. ที่กำลังรอคุณไปสัมผัส.
             หรือสำหรับใครที่ชื่นชอบสวนสวยๆ. เต็มไปด้วยสีสันอันหลากหลายของดอกไม้. เป็นพันธ์ไม้แปลกตา. ที่หาดูไม่ได้ง่ายๆ . นี่เลยครับ. งานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2554 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 14 ธันวาคม 2554  - 14 มีนาคม 2555
              สำหรับที่พักนั้น. คุณคงต้องเหนื่อยหน่อย. เพราะว่าช่วงนี้รับรองว่าโรงแรมหรือรีสอร์ทต่างๆ. อาจจะถูกจับจองล่วงหน้า. จากนักท่องเที่ยวทั่วทุกสารทิศ. ที่ต้องการเที่ยวชมงาน. งานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2554  แต่มีรีสอร์ทที่หนึ่งที่ผมอยากแนะนำ คือ เชียงใหม่ ไนท์ซาฟารี รีสอร์ท. ( Chiangmai Night Safri  Resort ) ซึ่งใกล้อุทยานหลวงราชพฤกษ์ฯ. และห่างจากสนามบินนานาชาติเชียงใหม่. ใช้เวลาเพียง 10 นาที.
  ยามเช้า. ตื่นเช้าสูดอากาศที่บริสุทธิ์เดินเล่นชมความงาม. ของสวนดอกไม้. ท่ามกลางสายหมอก. ได้กาแฟสดร้อนๆ สักแก้ว. บวกเบเกอรี่ที่แสนอร่อย. จะมีความสุขไม่น้อย.
  ยามสาย. เดินเพียงอีกไม่กี่ร้อยเมตร.     คุณก็สามารถเข้าเยี่ยมชมอุทยานหลวงราชพฤกษ์ฯ. อีกทั้งยังอยู่ไม่ไกลแหล่งช้อปปิ้งชื่อดังอย่าง. บ้านถวาย. โดยขับรถไปเพียง 6 กิโลเมตร. ก็สามารถเลือกซื้อหาของฝากถุกใจกลับบ้านกันได้แล้ว.
  ยามเย็น. ไปดินเนอร์ที่ห้องอาหารชมสัตว์ที่ Giraffe Restaurant. แล้วก็แวะไปชมการแสดงโชว์ตระการตา. หรือจะไปนั่งรถรางชมสัตว์ที่ออกหากินตอนกลางคืน. ที่ไนท์ซาฟารี. ซึ่งถือเป็นกิจกรรมยอดนิยม. ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ. ที่ไปเที่ยวเชียงใหม่. 
         นอกจากนี้. ถ้าคุณต้องการศึกษาประวัติ. และวัฒนธรรมประเพณีล้านนา. ซึ่งเป็นประเพณีที่เก่าแก่. คุณสามารถศึกษาและค้นหาได้จากวัดวาอารามต่างๆ. ที่มีอยู่รอบๆ ตัวเมืองเชียงใหม่. จากจำนวนวัดที่มีมาก. ทำให้เราทราบทันทีว่า. เมืองเชียงใหม่ในอดีต. ให้ความสำคัญในด้านศาสนามากแค่ไหน.
วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร
วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ในบริเวณคูเมืองเชียงใหม่ ถนนสามล้าน ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ วัดพระสิงห์ฯ เป็นวัดสำคัญวัดหนึ่งของเมืองเชียงใหม่ เป็นประดิษฐานพระสิงห์ (พระพุทธสิหิงค์) พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองเชียงใหม่และแผ่นดินล้านนา พระพุทธรูปเป็นศิลปะเชียงแสนรู้จักกันในชื่อ "เชียงแสนสิงห์หนึ่ง"
ประวัติ
พญาผายู กษัตริย์เชียงใหม่ราชวงศ์เม็งราย โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1888 ขั้นแรกให้ก่อสร้างเจดีย์สูง 23 วา เพื่อบรรจุพระอัฐิของพญาคำฟู พระราชบิดา ต่อมาอีก 2 ปี จึงได้สร้างพระอาราม เสนาสนวิหาร ศาลาการเปรียญ หอไตร และกุฏิสงฆ์ เมื่อเสร็จเรียบร้อย ทรงตั้งชื่อว่า "วัดลีเชียงพระ" สมัยพระเจ้าแสนเมืองมา ขึ้นครองนครเชียงใหม่ โปรดให้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาจากเมืองเชียงราย เมื่อขบวนช้างอัญเชิญมาถึงหน้าวัด ช้างก็ไม่ยอมเดินทางต่อ พระเจ้าแสนเมืองมา จึงโปรดให้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ประดิษฐาน ณ วัดลีเชียงพระ ประชาชนทางเหนือนิยมเรียกพระพุทธสิหิงค์ ว่า "พระสิงห์" จึงเป็นที่มาของชื่อ "วัดพระสิงห์" ในปี พ.ศ. 2360 พญาธัมลังกา หรือพระเจ้าช้างเผือกธรรมลังกา พระอนุชาของพระเจ้ากาวิละ โปรดให้บูรณะพระอุโบสถและพระเจดีย์
          ต่อมาในปี พ.ศ. 2467 เจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ องค์สุดท้าย พร้อมด้วยครูบาศรีวิชัย และประชาชนชาวเชียงใหม่ ได้ร่วมกันบูรณะปฏิสังขรณ์วัดพระสิงห์อีกครั้ง และได้มีการขุดพบสิ่งของมีค่ามากมาย อาทิ แผ่นทองคำจารึกเรื่องราวต่างๆ โกศบรรจุอัฐิพญาคำฟู แต่สิ่งของเหล่านี้สูญหายไปในช่วงสงครามเอเชียบูรพา และในปี พ.ศ. 2493 วัดพระสิงห์ ได้รับโปรดเกล้าให้เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร
วัดพระพุทธบาทสี่รอย
วัดพระพุทธบาทสี่รอยตั้งอยู่ที่ ต.สะลวง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่
ตำนานพระพุทธบาท 4 รอย
       เมื่อครั้งสมัยพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในศาสนาปัจจุบันนี้ได้เสด็จจารึกประกาศธรรม และโปรดเวไนยสัตว์มายังปัจจัยตะประเทศ (ประเทศไทยในปัจจุบัน)จนกระทั่งมาถึงเทือกเขาทางตอนเหนือของประเทศ ชื่อเขา เวภารบรรพต ซึ่งขณะนั้นได้เสด็จพร้อมกับพุทธสาวก 500 องค์ และได้แวะฉันจังหันอยู่บนเขา เวภารบรรพตแห่งนี้ เมื่อพระพุทธองค์ฉันจังหันเสร็จ ขณะประทับอยู่ที่นั้น ก็ได้ทราบด้วยญาณสมาบัติว่าบนเทือกเขาแห่งนี้ ได้มีรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้ามาประทับอยู่บนก้อนหินก้อนใหญ่คือ พระพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้ภัทรกัลป์นี้ แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงเล็งดูรอยพระพุทธบาทแห่งพระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์ คือ พระพุทธเจ้ากกุสันธะ , พระพุทธเจ้าโกนาคมนะ , พระพุทธเจ้ากัสสปะอันมีในที่นี้พุทธสาวกทั้งหลาย มีพระสารีบุตรเป็นประธานเมื่อเห็นเช่นนี้จึงทูลถามว่า พระพุทธองค์ทรงเล็งดูด้วยเหตุใดพระพุทธองค์จึงตรัสตอบว่า ดู ก่อนท่านทั้งหลายสถานที่แห่งนี้แม้นว่าพระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์ ที่ล่วงมาแล้วในอดีตกาล ก็มาประทับรอยพระบาทไว้ ณ ที่นี่ทุกๆ พระองค์ และ แม้นว่าพระศรีอริยเมตไตร ก็จักเสด็จมาประทับรอยพระบาทไว้ ณ ที่นี่ และจักประทับรอยพระบาท 4 รอยให้เป็นอันหนึ่งอันเดียว ( คือประทับลบรอยทั้ง 4 ให้เหลือรอยเดียว )เมื่อพุทธองค์ตรัสแก่สาวกทั้งหลาย เสร็จแล้ว พระองค์ก็เสด็จไปประทับรอยพระบาทซ้อนรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์ จึงมีรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้า 4 พระองค์ จึงเกิดเป็นพระพุทธบาท 4 รอย
1 รอยพระบาทของพระพุทธเจ้ากกุสันธะ รอยแรก เป็นรอยใหญ่ยาว 12 ศอก
2 รอยพระบาทของพระพุทธเจ้าโกนาคมนะ เป็นรอยที่ 2 ยาว 9 ศอก
3 รอยพระบาทของพระพุทธเจ้ากัสสปะ เป็นรอยที่ 3 ยาว 9 ศอก
4 รอยพระบาทของพระพุทธเจ้าโคตะมะ (ศาสนาปัจจุบันนี้) เป็นรอยที่ 4 รอยเล็กสุดยาว 4 ศอก

วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2554

งานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2554

งานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2554
             งานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2554 ณ. อุทยานหลวงราชพฤกษ์. ตำบลแม่เหียะ. อำเภอเมือง. จังหวัดเชียงใหม่. โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสมาคมพืชสวนแห่งประเทศไทย.เป็นอีกหนึ่งงานใหญ่. ที่คนรักธรรมชาติไม่ควรพลาด. ตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2554 จนถึง วันที่ 15 มีนาคม 2555 เนื่องในวโรกาส. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว. ทรงเจริญพระชนมพรรษา  84 พรรษา. ในปี พ.ศ. 2554 รวมถึง. สมเด็จพระนางเจ้าฯ. พระบรมราชินีนาถ. ทรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา. ในปี พ.ศ.2555 และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ. สยามกุฏราชกุมาร. ทรงเจริญพระชนมพรรษา 60 พรรษา. ในปี พ.ศ. 2555
               การจัดงานในครั้งนี้แบ่งออกเป็น 3 ส่วนด้วยกัน คือ. มุ่งเน้นร่วมรณรงค์และส่งเสริมวิธีการบริหารทรัพยากรอย่างคุ้มค่า. เพื่อความยั่งยืน. การประชุมทางวิชาการด้านพืชสวนระดับชาติและนานาชาติ. และการจัดประกวดพืชสวนชนิดต่าง ๆ . โดยการนำเสนอสวนสวย. จากหลายภาคส่วน. และหลายประเทศ. ในงานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2554  ในพื้นที่กว่า 400 ไร่. ของอุทยานหลวงราชพฤกษ์.  ซึ่งแต่ละประเทศได้นำไม้เด็ด. ไม้หายาก. มาแสดงโชว์ด้วยการจัดสวนไม้. ที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละประเทศ.
             โดยในส่วนของนิทรรศการนั้น เช่น นิทรรศการใต้ร่มพระบารมี ๘๔ พรรษา มหาราชา  เป็นนิทรรศการเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจ และพระอัจฉริยภาพในด้านการเกษตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติของทั้ง 3 พระองค์ นิทรรศการสวนนานาชาติ ทั้งในอาคารและนอกอาคาร นิทรรศการด้านพืชสวนและเทคโนโลยีการเกษตรระดับชาติและนานาชาติ ที่ใช้แนวคิด 3Gs และ 3Rs สำหรับการประชุมวิชาการนานาชาติและระดับชาติด้านพืชสวนนั้น จะเป็นการเผยแพร่ แลกเปลี่ยน และถ่ายทอดองค์ความรู้ใหม่ให้เกิดขึ้น โดยเป็นการประชุมวิชาการด้านพืชสวนในระดับนานาชาติทั้งสิ้น 11 การประชุม เช่น การประชุมเรื่อง บทบาทของการเกษตร และทรัพยากรธรรมชาติในการลดสภาวะโลกร้อน การประชุมนานาชาติไม้ผลเมืองร้อนและกึ่งร้อน การประชุมยางนานาชาติ การประชุมไหมโลก การประชุมนานาชาติเรื่องกล้วยไม้ และไม้ประดับ เป็นต้น ส่วน      การจัดประกวดพืชสวนนั้น จะประกอบด้วย การประกวดกล้วยไม้ ไม้ดอกไม้ไม้ประดับ และการจัดสวน ประกวดไม้ผล และประกวดพืชผัก รวม 51 ประเภท จุดเด่นของงานในครั้งนี้ที่น่าสนใจ คือ กระเช้าราชพฤกษ์ลอยฟ้า Giant Flora Wheel. สูงกว่า 40 เมตร เมื่อขึ้นไปแล้วสามารถชมทิวทัศน์ภายในบริเวณงานได้ทั้งหมด สวนแสงแห่งจินตนาการ Imagination Light Gardens. โดยเนรมิตดวงไฟนับล้านดวงกับผีเสื้อเรืองแสงเต้นรำ พร้อมเสียงดนตรี และสวนเยาวชนรักษ์โลก Kids’ Eco Park. เป็นนิทรรศการและกิจกรรมที่ให้ทั้งความรู้และความสนุกสนาน ปลูกฝังการลดโลกร้อนและรักธรรมชาติให้กับเยาวชนคนรุ่นใหม่.

จำหน่ายบัตรเข้าชมล่วงหน้าวันนี้ -  ถึง 13 ธันวาคม 2554

บัตรประเภทเข้าชมงานครั้งเดียว       ผู้ใหญ่ คนละ 100 Baht.  เด็ก / นักศึกษา / ผู้สูงอายุ / ผู้พิการ คนละ 50 Baht.
บัตรประเภทเข้าชมงานไม่จำกัดจำนวนครั้ง     ผู้ใหญ่ คนละ 400 Baht.        เด็ก / นักศึกษา / ผู้สูงอายุ / ผู้พิการ คนละ 200 Baht.
บัตรประเภทหมู่คณะ 15-50 คน         ผู้ใหญ่ คนละ 70 Baht.           เด็ก / นักศึกษา / ผู้สูงอายุ / ผู้พิการ คนละ 30 Baht.
เงื่อนไขการจำหน่ายบัตร
1 บัตรจองล่วงหน้านั้น ผู้ซื้อจะได้รับบัตรจากจุดจําหน่ายทันที และในกรณีของบัตรประเภทกลุ่มบุคคล จะต้องเข้างานบริเวณทางเข้าที่ระบุว่า ทางเข้าของหมู่คณะ
หรือที่เว็บไซต์

วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ถ่ายภาพแม่คะนิ้งที่ดอยอินทนนท์

ถ่ายภาพแม่คะนิ้งที่ดอยอินทนนท์ 


               สภาพอากาศทางภาคเหนือในหลายพื้นที่เริ่มหนาวจัด. ซึ่งปัจจุบัน. กำลังเข้าสู่ฤดูหนาวและที่ยอดดอยอินทนนท์. มีอากาศที่หนาวเย็นโดยอุณหภูมิต่ำสุดในช่วงเช้า. วันที่ 30 พฤศจิกายน 2554  ประมาณ -1 องศาเซลเซียส. ทำให้เกิดปรากฏการณ์น้ำค้างแข็ง หรือที่ชาวเหนือเรียกว่าเหม๋ยขาบ หรือแม่คะนิ้ง  นักท่องเที่ยวต่างพากันไปพักแรมค้างคืนที่ดอยอินทนนท์  เพื่อถ่ายภาพแม่คะนิ้งในตอนเช้า  ช่วงนี้ทำให้สินค้ากล้องถ่ายรูปแบนต่างๆขายดีไปตามๆกัน


ปี 2554  ประเทศไทยได้เกิดมหาอุทกภัยน้ำท่วม.  หลายจังหวัดที่มีน้ำท่วมเช่นภาคเหนือในเมืองเชียงใหม่. แต่ปัจจุบันระดับน้ำได้ลดลงแล้ว. แต่ภาคกลาง และกรุงเทพฯปริมลฑล บางพื้นที่ยังมีน้ำท่วมขังอยู่  หลายครอบครัวจึงหนีน้ำท่วมไปเที่ยวพักผ่อนที่เชียงใหม่เป็นการคลายเครียด.  





วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Ratchaburi Suan Phung Resort

Ratchaburi Suan Phung  Resort.
      Trips in 2554 is the recommended location. Resorts. Suan Phung. Ratchaburi's Suan Phung tourist attraction, not flood. Although the trip from Bangkok. Some of the Suan Phung. However, there will be flooding the streets. The government is now hasten to drain the water into the Gulf of Thailand as soon as possible. And restoration of the main attractions. For visitors arriving in the winter.
      Suan Phung. Is another district of the province of Ratchaburi. The resort is a lot. Each resort has a beautiful view. Cool breeze. The morning mist. Mountains, beautiful blue, clear atmosphere, good close to nature. And privacy. Perfect for leisure and real example. Suan Resort. (Suanpeung Resort, Rock Land Resort.) Men rock house Flynn Stones. Man-made resort is a stone house Flynn Stones. The strange and beautiful. Each resort has different characteristics. The identity of the Suan Resort. It makes the atmosphere very relaxing. Suan Phung is a popular tourist destination of tourists, both Thais and foreigners very much. It has an abundance of natural beauty. And forestry. Mountain and waterfall area, most of the plateau. Flanked by mountainous terrain of the Suan Tanaosri. This is the western border between Thailand and Burma. Convenient travel. Walk from the city soon. Able to eat comfortably. Or if you have enough time overnight stay at Suan Phung. It was a good atmosphere. And be able to do throughout the year with only a winter visitor.

Places to visit.
Subsidence of Land
       Located at the house number. 99 Moo. 6 Tha ever Suan Phung district. District, Ratchaburi in the area of ​​the villagers. Prior to the Suan Phung district. About 5 km. Turn left and go approximately 5 miles. A quaint tourist attraction. This bulging is caused by the collapse of the soil. Cause is different. There are specific areas where tourism is about 3-5 acres. The collapse of the soil, causing a variety of large and small holes. And dangerous for children. So if you take children with special need. Do not let your child fail to move decisively. Along the way, there will be signs. When I follow the signs to it. The cliffs are being eroded by water. There are very beautiful.

House candles. Suan Phung. Ratchaburi.
         Home fragrance candle. Suan Phung district. The main kilometer 33, a restaurant and accommodation. The sale of multi-colored candles. The plant is small and the back. Highlights of flowers, candles, home fragrance. Candle pattern is not due to paint colors. Or the use of paper into it. However, in meat candle. Products of the store. "Home fragrance candle," which has a wide variety of products available for purchase. Such as candle blog. Candle patterns.

The Scenery Resort.
         The Scenery Resort. Is a resort in the valley. The river is Phachi attractions. The emphasis is to stay calm. Comfortable and close to nature. Located in Suan Phung district. Ratchaburi province. This is a small resort. Tucked away peacefully. Land of the mountain. Grass sheep and clear streams. The natural environment. The creek flows through. Grass-green eyes. Highlights of this is. Flock to greet visitors. The major Nordic-style villa's State Forest, which invites to relax smooth.
Hot water tank analogy. Suan Phung. Ratchaburi.
          Hot water tanks roll A small stream. The water flow out of the eye ground water throughout the year. This is a small stone-lined channel along the approximately 300 meter hot water tanks roll A mineral water bath, private natural hot mineral water. The river flows through the gravel, stone, originating from soil beneath the surface of the heat. Then flows into a small stream of hot water coming out of the corner stone hillside Tanaosri.
          Both sides of the brook surrounded by trees and natural vegetation. The flowing water year-round. Even in the dry season water flows down a little. It does not dry. Maximum temperatures around 56 degrees Celsius. There are no minerals that are harmful to the skin.
Nine waterfalls Jones. Suan Phung. Ratchaburi.
       The nine waterfalls Jones. Suan Phung. Ratchaburi away from the hot water tank similar to a kilometer from the parking lot to walk about 200 meter walking distance to the waterfall and not very far away. Upstream of the waterfall area. Located on a plateau mountains Tanaosri. The forests are rich. And the rain continued. As a result, absorb water at all times. Cause of a natural stream. Flow from the middle of the mountains. To the bottom. Including the 14th floor distance of 2.5 kilometers. But only to 9 only.
Kaeng Som cat Suan Phung. Ratchaburi.
        Kaeng Som cat Suan Phung. Ratchaburi traverses a stream flowing under the rocks, large and small. Phachi River complex. They are ideal for a swim. Located in forest areas, Her Majesty Queen Sirikit. Conditions around the forest. The park has a garden. Distribution centers, ceramics from the villagers in the village nearby. Forest Park was built to honor. Her Majesty Queen Sirikit. The Queen. On the occasion were Prachnmprra 5 around the center tree. Economically valuable species. It is an excellent source of natural.
Suan Phung. Orchid.
       Suan Phung Orchid. Orchid Gardens, one of the most popular. It is one of the attractions of Ratchaburi. The orchid can visit for free. There are many different orchid species within the park. Are all beautiful. As orchids are one of the most engaging. The orchid family, Wanda. The Great Sand Beach. And many more.




วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

วัฒนธรรมทองแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ 84 พรรษา มหาราชา


เนื่องจากปี พ.ศ.2554 เป็นปีมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงเจริญพระชนมพรรษา 84 พรรษา นำมาซึ่งความปลื้มปีติแก่ประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งของพสกนิกรชาวไทยทุกคน ดังพระปฐมราชโองการที่ว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" และพระองค์ได้ทรงสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ประเทศชาติเช่นเดียวกับพระบูรพกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ทุกพระองค์
สำนักพระราชวังจึงเตรียมจัดกิจกรรมพิเศษเพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบูรพกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี และเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตลอดจนเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในโอกาสที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา 1 สิงหาคม 2555 และเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ในโอกาสที่จะทรงเจริญพระชนมายุ 60 พรรษา 28 กรกฎาคม 2555 ด้วย จึงถือเป็น 3 โอกาสสำคัญที่จะจัดการแสดงชุดพิเศษนี้อย่างยิ่งใหญ่


เนื้อหาของการแสดงมีการนำเสนอเรื่องราวที่ร้อยเรียงประวัติศาสตร์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ตั้งแต่เริ่มก่อร่างสร้างเมืองและการเปลี่ยนแปลงในแต่ละยุคสมัย ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 จนถึงรัชกาลปัจจุบัน พร้อมทั้งนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับความรักความผูกพัน  ที่ทรงมีต่อปวงชนชาวไทย ตลอดระยะเวลาอันยาวนานที่ทรงประกอบพระราชกรณียกิจ    เพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกรทุกหมู่เหล่า
         สำหรับกิจกรรมภายในงานนอกจากการแสดงแสง-เสียงแล้ว ยังได้มีการออกร้านของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ, ร้านจำหน่ายสินค้าจากโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ, โครงการฟาร์มตัวอย่าง และร้านของสำนักพระราชวังที่เปิดจำหน่ายรูปพระบรมฉายาลักษณ์และพระฉายาลักษณ์ที่หายากของเจ้านายทุกพระองค์อีกด้วย
              การแสดงจะเริ่มตั้งแต่วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึงวันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา 19.00-20.30 น. งดการแสดงทุกวันจันทร์ ยกเว้นวันจันทร์ที่ 28 ก.พ.54 และงดการแสดงในวันที่ 27 ธ.ค.53-3 ม.ค.54 จำหน่ายบัตรในราคา 500 บาททุกที่นั่ง เริ่มจำหน่ายสำหรับประชาชนทั่วไปตั้งแต่วันที่ 6 ธ.ค.ศกนี้ ที่ห้องประชาสัมพันธ์ ทางเข้าวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง โทร.0-2623-5500, 0-2623-5499, ต่อ 1120-1123-1126     และ 4567-4568ทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ ตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น. รายได้หลังหักจากค่าใช้จ่ายจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
สำหรับประชาชนในต่างจังหวัด ที่ต้องการมาชมการแสดงในพระพระบรมมหาราชวัง แต่ไม่มีโอกาสหรือไม่สะดวกในการเดินทาง สำนักพระราชวังจึงตอบสนองเพื่อให้ประชาชนทั่วประเทศไทยได้ร่วมเฉลิมพระเกียรติในปีมหามงคลนี้ พร้อมทั้งร่วมน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของบูรพกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีทุกพระองค์ จากการแสดงชุดพิเศษนี้โดยทั่วถึงกัน แม้ว่าความตระการตาและความประทับใจในบรรยากาศจะแตกต่างจากการชมการแสดงในพระบรมมหาราชวังเป็นอย่างมากก็ตาม
ทั้งนี้สำนักพระราชวังได้นำวีดิทัศน์การแสดงแสง เสียง และสื่อผสม "วัฒนธรรมทองแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ 84 พรรษา มหาราชา" ซึ่งจัดที่สนามหน้าศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง ความยาว 90 นาที ออกเผยแพร่ทางเว็ปไซต์ของสำนักพระราชวังให้ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดได้ฟรี ที่ www.palaces.thai.net และ www.brh.thaigov.net ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป 

จากใจของพ่อที่มีต่อลูก


เนื่องจากช่วงนี้ใกล้จะถึงวันสำคัญ คือวันพ่อแห่งชาติ  ผมจึงขอหยิบยกเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา  เพื่อเตือนสติเด็กรุ่นลูกรุ่นหลาน  ได้เกิดความสำรวมในจิตใจ และรำลึกถึงพระคุณของพ่อ  เนื่องจากผมเองก็เป็นพ่อคนหนึ่ง  ที่มีลูกอยู่ 2 คน ชาย 1 หญิง 1 ผมเฝ้าเลี้ยงดูลูกมาตั้งแต่เล็กจนโตด้วยสำนึกอยู่ตลอดเวลาในความรับผิดชอบของพ่อที่มีต่อลูกๆ  และถือเป็นหน้าที่  และทราบดีว่าในหัวอกลูกที่ขาดพ่อจะเป็นอย่างไร  เพราะผมเองก็เคยประสพชะตากรรมเช่นนั้นมาตั้งแต่อายุได้ 6 ขวบ ชีวิตต้องดิ้นรนต่อสู้กับความอดอยาก หิวโหย  ขาดความอบอุ่น เพราะครอบครัวขาดหางเสือที่กำหนดทิศทาง  ครั้นเมื่อโตและมีครอบครัวได้กลายมาเป็นพ่อบ้าง  ผมจึงใส่ใจเรื่องนี้เป็นพิเศษ  และพยายามอบรมสั่งสอนลูกๆให้เป็นคนดีมีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคมอยู่ตลอดเวลา และตั้งใจเล่าเรียน เพราะการศึกษาเปรียบเหมือนเครื่องมือหากิน ซึ่งในสมัยปัจจุบันที่จะขาดเสียมิได้ และนั่นคือสิ่งที่ผมตั้งใจที่จะมอบให้แก่ลูกๆทุกคน แล้วแต่ว่าใครจะตักตวงความรู้ได้มากกว่ากัน  ลูกเอ๋ย...อันความรักทั้งหลายไม่มีความรักใดสะอาดบริสุทธิ์เท่ากับความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก  จำไว้ให้ขึ้นใจ  
                 วันพ่อแห่งชาติ ได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2523 โดยคุณหญิงเนื้อทิพย์ เสมรสุต นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษาเป็นผู้ริเริ่มหลักการและเหตุผลในการจัดตั้งวันพ่อแห่งชาติ พ่อเป็นผู้มีพระคุณที่มีบทบาทสำคัญต่อครอบครัวและสังคม สมควรที่ผู้เป็นลูกจะเคารพเทิดทูนตอบแทนพระคุณด้วยความกตัญญู และสมควรที่สังคมจะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อ จึงถือเอาวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปีซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาเป็น วันพ่อแห่งชาติด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยอย่างนานัปการ ทรงเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและพระราชธิดา ทรงรักใคร่และให้ดอกพุทธรักษาเป็นสัญลักษณ์ วันพ่อแห่งชาติ
                 ด้วยพ่อเป็นบุคคลผู้มีพระคุณ มีบทบาทสำคัญต่อครอบครัวและสังคม สมควรที่ผู้เป็นลูกจะเคารพ เทิดทูน และตอบแทนพระคุณด้วยความกตัญญู และสังคมควรที่จะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อนี่เป็นที่มาของการจัดให้มี วันพ่อแห่งชาติ
วันพ่อแห่งชาติหรือวันเฉลิมพระชนพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
5 ธันวาวันพ่อแห่งชาติ 
                5 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชและยังเป็นวันพ่อแห่งชาติ เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะพ่อแห่งชาติ อีกทั้งทรงเป็นพ่อตัวอย่างของปวงชนชาวไทย ที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตากรุณา ทรงบำเพ็ญคุณานุประโยชน์แก่ประเทศชาติ และประชาชน ทรงพระมหากรุณาทะนุบำรุงขจัดทุกข์ผดุงสุขพสกนิกรถ้วนหน้า พระองค์ทรงเป็น พ่อแห่งชาติที่อาณาประชาราษฎร์เทิดทูนด้วยความจงรักภักดี สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และยึดมั่นในการเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทในการทะนุบำรุงชาติบ้านเมืองให้ วัฒนาถาวรสืบไป ซึ่งมีวัตถุประสงค์ของวันพ่อแห่งชาติ 4 ประการ คือ

1.       เพื่อเทิดทูนพระเกียรติคุณของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

2.       เพื่อเทิดทูนพระคุณของพ่อ และยกย่องบทบาทของพ่อที่มีต่อครอบครัวและสังคม

3.       เพื่อให้ลูกได้แสดงความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อ

4.       เพื่อให้ผู้เป็นพ่อ สำนึกในหน้าที่และความรับผิดชอบของตน  
                     เป็นสองมือ   อุ้มชู   เลี้ยงดูลูก....เป็นสายใย   พันผูก   คอยห่วงหา

เป็นอ้อมกอด อบอุ่น ค้ำจุนมา....เป็นสายตา ห่วงใย ใคร่อาทร

ยามเจ็บไข้  เฝ้าดูแล ด้วยชีวิต ....ยามพลั้งผิด ท่านอบรม คอยบ่มสอน

ยามเหนื่อยหน่ายกำลังใจไม่สั่นคลอน....ยามใดใด ยังอาทร ไม่เปลี่ยนแปร

ด้วยความรัก ของพ่อ ที่ยิ่งใหญ่ .....ด้วยหัวใจ สะอาดใส เป็นแน่แท้

ด้วยชีวิต เพื่อลูก .. เฝ้าดูแล ....ด้วยสองมือ ไม่ผันแปร เป็นอื่นใด

ชายคนหนึ่ง ทำทุกอย่าง ไม่เคยบ่น    ทั้งตากแดด ตากฝน ยอมทนหนาว

เพื่อความหวัง ที่สดใส  สุขสกาว      ให้ลูกชาย  ลูกสาว  ได้เล่าเรียน

แม้ต้องแลก กับหยาดเหงื่อ  สักกี่หยด        แม้ต้องควัก สตางค์หมด  จนเป็นหนี้

ไม่เคยท้อ  หวังแค่ลูก ได้จบตรี แต่ลูกสิ  กับชั่ว  จนลืมตน

ได้แต่ขอ เงินท่าน ไม่เคยขาด      เอาไปใช้ เรื่องอุบาท จนหมดสิ้น

ไม่เคยคิด ไม่เคยนึก ได้แต่ชิน     ชินกับการ ฟุ่มเฟือย จนเลื่อยมา

แล้วสุดท้าย ความเจ็บปวด มันหวนกลับ      คนที่รับ นั้นคือพ่อ ใช่ไหมหนา

ต้องมานั่ง ร้องไห้ เสียน้ำตา     พ่อเร่งหา ลูกล้างผลาญ หมั่นทำลาย

จนวันหนึ่ง คิดได้ ในที่สุด     แต่เวลา กับหยุด ฝันสลาย

ท่านไม่ได้ อยู่กับเรา ไปจนตาย    กว่าคิดได้ มันคงสาย ไม่หวนคืน

วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ประเพณีลอยกระทงไทย



ประเพณีลอยกระทง
ประวัติความเป็นมา
ประเพณีลอยกระทงเป็นประเพณีโบราณของไทย แต่ไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่าทำกันมาตั้งแต่เมื่อไร เท่าที่ปรากฎกล่าวได้ว่ามีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นราชธานี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสันนิษฐานว่า เดิมทีเดียวเห็นจะเป็นพิธีของพราหมณ์กระทำเพื่อบูชาพระผู้เป็นเจ้าทั้งสามคือ พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหม ต่อมาได้ถือตามแนวทางพระพุทธศาสนา มีการชักโคมเพื่อบูชาพระบรมสารีริกธาตุพระจุฬามณีในชั้นดาวดึงส์ และลอยโคมเพื่อบูชารอยพระพุทธบาท ซึ่งประดิษฐาน ณ หาดทรายแม่น้ำนัมมทา
                ในสมัยสุโขทัย นางนพมาศ พระสนมของพระร่วงได้คิดทำกระทงถวายเป็นรูปดอกบัวและรูปต่างๆ ให้ทรงลอยตามสายน้ำไหล พระร่วงเจ้าทรงพอพระราชหฤทัยกระทงดอกบัวของนางนพมาศมาก จึงโปรดให้ถือเป็นเยี่ยงอย่าง ดังปรากฏในตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์กล่าวถึงพระดำรัสของพระร่วงว่าตั้งแต่นี้สืบไปเบื้องหน้า โดยลำดับกษัตริย์ในสยามประเทศถึงกาลกำหนดนักขัตตฤกษ์วันเพ็ญเดือน 12 ให้ทำโคมลอยเป็นรูปดอกบัว อุทิศสักการะบูชาพระพุทธบาทนัมมทานทีตราบเท่ากัลปาวสาน" ด้วยเหตุนี้โคมลอยรูปดอกบัวจึงปรากฏมาจนทุกวันนี้ แต่เรียกเปลี่ยนชื่อว่า ลอยกระทงประทีปในครั้งนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเสด็จประทับเรือพระที่นั่งไปถวายดอกไม้เพลิงบูชาพระรัตนตรัยทุกพระอารามหลวงที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำแล้วทอดพระเนตรการขับร้องประโคมดนตรีของประชาชน พระราชพิธีลอยกระทงในครั้งนั้นทำเป็นการใหญ่สนุกสนานมาก

                ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เมื่อแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระบรมโกศ พระเจ้าแผ่นดินลังกาได้ส่งราชทูตที่เข้ามาก็ได้ชมพิธีลอยกระทง ตามจดหมายราชทูตลังกาว่า ก่อนอรุณ มีข้าราชการไทยสองคนลงมาบอกราชทูตานุทูตว่า ในค่ำวันนี้จะมีกระบวนแห่สมเด็จพระราชดำเนินตามชลมารคในการพระราชพิธีฝ่าย ศาสนากระบวนเสด็จผ่านที่พักราชทูตมา กระบวนพิธีมรามูตานุทูตได้เห็นมีดังนี้ ตามบรรดาริมน้ำทั้งสองฟากทุกวัด ต่างปักไม้ไผ่ลำยาวขึ้นเป็นเสาโน้มไม้ลงมาผูกเชือกชักโคมต่างๆ ครั้นได้เวลาพระเจ้ากรุงศรีอยุธยาเสด็จโดยกระบวนเรือ พร้อมด้วยกรมพระราชวังบวรสถานมงคลสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ และเจ้ามหาพระยามหาอุปราช เรือที่เสด็จล้วนปิดทอง มีกันยาดาดสีและผูกม่านในลำเรือปักเชิงทองซองเงิน มีเทียนจุดตลอดลำ มีเรือข้าราชการล้วนแต่งประทีปนำเสด็จด้วยเป็นอันมาก ในการพระราชพิธีนี้ยังมีกระดาษทำเป็นรูปดอกบัวสีแดงบ้าง สีขาวบ้าง มีเทียนจุดอยู่ในนั้นปล่อยลอยตามน้ำลงมาเป็นอันมาก และมีระบำดนตรีเล่นมาในเรือนั้นด้วย

            ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พิธีนี้นิยมทำกันเป็นการใหญ่มีหลักฐานปรากฏในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งพระเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) กล่าวไว้ว่า ครั้นมาถึงเดือน 12 ขึ้น 15 ค่ำ แรมหนึ่ง พิธีจองเปรียงนั้น เดิมได้โปรดให้พระบรมวงศานุวงศ์ ฝ่ายหน้าในและข้าราชการที่มีกำลังพาหนะมากทำกระทงใหญ่ ผู้ถูกเกณฑ์ต่อเป็นถังบ้างเป็น บ้าง กว้างแปดศอกบ้าง เก้าศอกบ้าง กระทงสูงตลอด 10 ศอก 11 ศอก ทำประกวดประชันกันต่างๆ ทำอย่างเขาพระสุเมรุทวีปทั้ง 4 บ้าง และทำเป็นกระจาดชั้นๆ บ้าง วิจิตรไปด้วยเครื่องสด คนทำก็นับร้อยคิดในการลงทุนกระทงทั้งค่าเลี้ยงคนและพระช่างเบ็ดเสร็จก็ถึง 20 ชั่ง ย่อมกว่า20 ชั่งบ้าง กระทงนั้น วัน 14 ค่ำ เครื่องเขียว 15 ค่ำ เครื่องขาว วันแรมค่ำหนึ่ง เครื่องแดง ดอกไม้สดก็เลือกตามสีกระทง และมีจักรกลไกลต่างกันทุกกระทง มีมโหรีขับร้องอยู่ในกระทงนั้นก็มีบ้าง เหลือที่จะพรรณาว่ากระทงนั้น ผู้นั้นทำอย่างนั้นๆ คิดดูการประกวดประชันจะเอาชนะกัน คงวิเศษต่างๆ กัน เรือมาดูกระทงตั้งแต่บ่าย 4 โมง เรือชักลากกระทงขึ้นไปเข้าที่ตั้งแต่บ่าย 4 โมง เรือเบียดเสียดสับสนกันหลีกไม่ค่อยไหวเป็นอัศจรรย์เรือข้าราชการและราษฏรมาดูกันเต็มไปทั้งแม่น้ำ เวลาค่ำเสด็จพระตำหนักน้ำทรงลอยประทีป การทำกระทงใหญ่ในลักษณะดังกล่าวนี้ น่าจะมาแต่รัชกาลที่ 1 จนถึงรัชกาลที่ 3 ครั้งมาถึง
                รัชกาลที่ 4 ทรงเห็นว่าเป็นการสิ้นเปลือง จึงโปรดให้ยกเลิกเสียและโปรดให้พระบรมวงศานุวงศ์ ทำเรือลอยประทีป แทนกระทงใหญ่ถวายองค์ละลำเรียกว่า เรือลอยประทีปต่อมาในรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 ได้ทรงฟื้นฟูพระราชพิธีนี้อีก
                ในปัจจุบัน การลอยประทีปของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงกระทำเป็นการส่วนพระองค์ตามพระราชอัธยาศัย แต่พิธีของชาวบ้านยังทำกันอยู่เป็นประจำ

วัตถุประสงค์
1. เพื่อบูชารอยพระบาทที่ประดิษฐ์ ณ หาดทรายแม่น้ำนัมมทา อันเป็นการเจริญพุทธานุสติรำลึกถึงคุณค่า พระพุทธเจ้าเช่นเดียวกับที่ผู้นับถือศาสนาพราหมณ์   บูชาพระผู้เป็นเจ้าของเขา
2. เพื่อแสดงความสำนึกคุณของน้ำในแหล่งน้ำต่างๆ อันเป็นสิ่งจำเป็นของชีวิต ซึ่งสมมุติเป็นแม่พระคงคาและขอขมาลาโทษที่อาจทำการใดๆ อันเป็นเหตุให้แหล่งน้ำนั้นๆ ไม่สะอาด การสำนึกคุณและขออภัยถือเป็นวัฒนธรรมอันดีงามอย่างหนึ่งของไทย
3. เพื่อความรื่นเริงบันเทิงใจและสังสรรค์กันระหว่างผู้ไปร่วมงาน เพราะเดือน 12 เป็นฤดูกาล ที่น้ำเต็มฝั่งเมื่อถึงวันพระจันทร์ เพ็ญจะแลดูงดงามมาก จึงมีลอยกระทงซึ่งทำให้เกิดแสงวอมแวมชวนให้ชื่นชมในการลอยกระทงนั้นบางคนก็จะอธิฐานขอสิ่งที่ตนปรารถนาหรือเสี่ยงทายเกี่ยวกับชีวิตของตนตามอัธยาศัย
4. เพื่อส่งเสริมงานช่างฝีมือในการประดิษฐ์กระทงด้วยใบตอง กาบกล้วยหรือวัสดุพื้นบ้านต่างๆ มีการประกวดกระทงส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ในการประดิษฐ์และงานฝีมือ
5. เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมคือ แหล่งน้ำให้ปราศจากมลภาวะ โดยตักเตือนกันมิให้มักง่ายทิ้งสิ่งปฏิกูลลงในแม่น้ำ
6. เพื่อธำรงส่งเสริมวัฒนธรรมประเพณีไทย และเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวนำรายได้มาสู่ประเทศชาติไปในขณะเดียวกัน
ในวันลอยกระทง ผู้คนจะพากันทำ "กระทง" จากวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ตบแต่งเป็นรูปคล้ายดอกบัวบาน ปักธูปเทียน และนิยมตัดเล็บ เส้นผม หรือใส่เหรียญกษาปณ์ลงไปในกระทง แล้วนำไปลอยในสายน้ำ (ในพื้นที่ติดทะเล ก็นิยมลอยกระทงริมฝั่งทะเล) เชื่อว่าเป็นการลอยเคราะห์ไป นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการลอยกระทง เป็นการบูชาและขอขมาพระแม่คงคาด้วย
               
ภาคเหนือ
จังหวัดเชียงใหม่ มีประเพณี"ยี่เป็ง"เชียงใหม่ ในทุกๆปีจะมีการจัดงานขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ตระการตา และมีการปล่อยโคมลอยขึ้นเต็มท้องฟ้า นิยมทำโคมลอย เรียกว่า "ลอยโคม" หรือ "ว่าวฮม" หรือ "ว่าวควัน" ทำจากผ้าบางๆ แล้วสุมควันข้างใต้ให้ลอยขึ้นไปในอากาศอย่างบัลลูน ประเพณีของชาวเหนือนี้เรียกว่า ยี่เป็ง หมายถึงการทำบุญในวันเพ็ญเดือนยี่(ซึ่งนับวันตามแบบล้านนา ตรงกับวันเพ็ญเดือนสิบสองในแบบไทย)
"ประเพณียี่เป็ง" คือ ประเพณีในเทศกาลวันเพ็ญ เดือน ๑๒ เป็นงานประเพณี อันยิ่งใหญ่แห่งดินแดนล้านนา ที่ได้ปฎิบัติสืบทอดกันมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล "ยี่เป็ง" หรือวันเพ็ญเดือนยี่ของชาวล้านนา ตรงกับวันเพ็ญเดือน 12 ของภาคกลาง อันเป็นช่วงปลายฤดูฝน ต้นฤดูหนาว อากาศปลอดโปร่งท้องฟ้าแจ่มใส ธรรมเนียมปฎิบัติของชาวล้านนาอย่างหนึ่งนอกเหนือจากการลอยกระทงในแม่น้ำก็คือ การจุดประทีปโคมลอยขึ้นไปสว่างไสวบนท้องฟ้า โดยมีคติความเชื่อว่า เพื่อบูชาพระเกตุแก้วจุฬามณี บนสรวงสวรรค์ หรือบ้างก็เชื่อว่าเป็นการลอยเคราะห์ หรือสะเดาะเคราะห์ ให้เกิดความเป็นมงคลแก่ชีวิต
ภาคอีสาน
                ในอดีตมีการเรียกประเพณีลอยกระทงในภาคอีสานว่า สิบสองเพ็ง หมายถึงวันเพ็ญเดือนสิบสองซึ่งจะมีเอกลักษณ์แตกต่างกันออกไป

ภาคกลาง มีการจัดประเพณีลอยกระทงขึ้นทั่วทุกจังหวัด
กรุงเทพมหานคร จะมีงานภูเขาทอง เป็นรูปแบบงานวัด เฉลิมฉลองราว 7-10 วัน ก่อนงานลอยกระทง และจบลงในช่วงหลังวันลอยกระทง
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีการจัดงานประเพณีลอยกระทงกรุงเก่าขึ้นอย่างยิ่งใหญ่บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ภายในงานมีการจัดแสดงแสง สี เสียง อย่างงดงามตระการตา
ภาคใต้
อย่างที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ก็มีการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ นอกจากนั้น ในจังหวัดอื่นๆ ก็จะจัดงานวันลอยกระทงด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ในแต่ละท้องถิ่นยังอาจมีประเพณีลอยกระทงที่แตกต่างกันไป และสืบทอดต่อกันเรื่อยมาความเชื่อเกี่ยวกับวันลอยกระทง
จากวิกิพีเดียสารานุกรมเสรี
      ประเพณีลอยกระทงที่วัดบางโฉลงนอก
              ปีนี้จัดงานใหญ่โตมโหฬารมาก  คลื่นมหาชนต่างหลั่งไหลกันมาเที่ยวงานกันอย่างหนาแน่น  จนบริเวณลานวัดมองดูแคบลงไปถนัดตา     ยังดีนะครับที่สถานีสูบน้ำสุวรรณภูมิและสถานีต่างๆยังเข้าใจความรู้สึกของประชาชน ที่ปรับระดับน้ำให้ปริ่มตลิ่งเพื่อให้ประชาชนสามารถลอยกระทงได้  เพราะก่อนหน้านี้ปริมาณในลำคลองสำโรง  คลองบางโฉลง และคลองต่างๆที่เชื่อมโยงถึงกันถูกสูบจนจะแห้งคลองหมด เพื่อรองรับมวลน้ำที่จะมาจากกรุงเทพ
แต่น้ำไม่มาสักที  ชาวบ้านละแวกนี้บอกว่าจะฟ้องร้องกรมชลประทาน  ฐานสูบน้ำจนไม่มีน้ำจะลอยกระทง 


      เป็นบริเวณหน้าวัดบางโฉลงนอกริมคลองสำโรง  ปลาสวายเยอะมาก  ทางวัดเองก็เกรงว่าน้ำจะท่วมกลัวประชาชนลำบากอุตส่าทำสะพานไม้ไว้ตลอดริมคลองหน้าวัด  ถ้าใครใจบุญสามารถซื้อขนมปังหรืออาหารปลา  เพื่อทำบุญให้อาหารปลามีบริการทุกวัน
วัดบางโฉลงนอกมีพระประทานที่ศักดิ์สิทธิ์ คือ หลวงพ่อขาว



ลอดท้องช้างสะเดาะเคราะห์

ศรเพชร  ศรสุพรรณ