วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ดอยอินทนนท์. ฤดูหนาว. ฤดูไหน. ก็ไม่เหงา.

ดอยอินทนนท์. ฤดูหนาว. ฤดูไหน. ก็ไม่เหงา.

           หนาวนี้คงมีใครหลายคน. วางแผนการเดินทาง. มารับไอเย็น. ดินแดนที่อยู่กลางขุนเขาอย่างเชียงใหม่. อย่างแน่นอน.  เชียงใหม่. เป็นจังหวัดที่ไม่เคยหลับใหล. หากในฤดูหนาวนี้. ใครยังไม่ได้วางแผนจะเดินทางรับลมหนาวที่ไหน. ผมขอแนะนำเชียงใหม่. เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์แห่งสายน้ำและขุนเขา. เป็นสถานที่แรกที่คุณควรจะเลือก. ที่จะทำให้คุณได้พบกับความสุข. ความสนุกสนานและความสงบ. ของดินแดนล้านนาแห่งนี้. มีนักท่องเที่ยวเดินทางมา. เที่ยวชมตลอดทั้งปี. เพราะมีสถานที่ท่องเที่ยว. หลายรูปแบบ. ให้คุณได้เลือกสรร. เพียงคุณอยากสัมผัสธรรมชาติที่สวยงาม. ก็แค่ลองขับรถออกไปนอกเมืองสักหน่อย. คุณจะรู้สึกได้ว่า. ธรรมชาติที่สวยงาม. อยู่รอบๆตัวของคุณเอง.  เช่น. ดอยสุเทพ ,ดอยอินทนนท์ , ดอยอ่างขาง รวมทั้งน้ำตกต่างๆ. ที่กำลังรอคุณไปสัมผัส.
             หรือสำหรับใครที่ชื่นชอบสวนสวยๆ. เต็มไปด้วยสีสันอันหลากหลายของดอกไม้. เป็นพันธ์ไม้แปลกตา. ที่หาดูไม่ได้ง่ายๆ . นี่เลยครับ. งานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2554 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 14 ธันวาคม 2554  - 14 มีนาคม 2555
              สำหรับที่พักนั้น. คุณคงต้องเหนื่อยหน่อย. เพราะว่าช่วงนี้รับรองว่าโรงแรมหรือรีสอร์ทต่างๆ. อาจจะถูกจับจองล่วงหน้า. จากนักท่องเที่ยวทั่วทุกสารทิศ. ที่ต้องการเที่ยวชมงาน. งานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2554  แต่มีรีสอร์ทที่หนึ่งที่ผมอยากแนะนำ คือ เชียงใหม่ ไนท์ซาฟารี รีสอร์ท. ( Chiangmai Night Safri  Resort ) ซึ่งใกล้อุทยานหลวงราชพฤกษ์ฯ. และห่างจากสนามบินนานาชาติเชียงใหม่. ใช้เวลาเพียง 10 นาที.
  ยามเช้า. ตื่นเช้าสูดอากาศที่บริสุทธิ์เดินเล่นชมความงาม. ของสวนดอกไม้. ท่ามกลางสายหมอก. ได้กาแฟสดร้อนๆ สักแก้ว. บวกเบเกอรี่ที่แสนอร่อย. จะมีความสุขไม่น้อย.
  ยามสาย. เดินเพียงอีกไม่กี่ร้อยเมตร.     คุณก็สามารถเข้าเยี่ยมชมอุทยานหลวงราชพฤกษ์ฯ. อีกทั้งยังอยู่ไม่ไกลแหล่งช้อปปิ้งชื่อดังอย่าง. บ้านถวาย. โดยขับรถไปเพียง 6 กิโลเมตร. ก็สามารถเลือกซื้อหาของฝากถุกใจกลับบ้านกันได้แล้ว.
  ยามเย็น. ไปดินเนอร์ที่ห้องอาหารชมสัตว์ที่ Giraffe Restaurant. แล้วก็แวะไปชมการแสดงโชว์ตระการตา. หรือจะไปนั่งรถรางชมสัตว์ที่ออกหากินตอนกลางคืน. ที่ไนท์ซาฟารี. ซึ่งถือเป็นกิจกรรมยอดนิยม. ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ. ที่ไปเที่ยวเชียงใหม่. 
         นอกจากนี้. ถ้าคุณต้องการศึกษาประวัติ. และวัฒนธรรมประเพณีล้านนา. ซึ่งเป็นประเพณีที่เก่าแก่. คุณสามารถศึกษาและค้นหาได้จากวัดวาอารามต่างๆ. ที่มีอยู่รอบๆ ตัวเมืองเชียงใหม่. จากจำนวนวัดที่มีมาก. ทำให้เราทราบทันทีว่า. เมืองเชียงใหม่ในอดีต. ให้ความสำคัญในด้านศาสนามากแค่ไหน.
วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร
วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ในบริเวณคูเมืองเชียงใหม่ ถนนสามล้าน ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ วัดพระสิงห์ฯ เป็นวัดสำคัญวัดหนึ่งของเมืองเชียงใหม่ เป็นประดิษฐานพระสิงห์ (พระพุทธสิหิงค์) พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองเชียงใหม่และแผ่นดินล้านนา พระพุทธรูปเป็นศิลปะเชียงแสนรู้จักกันในชื่อ "เชียงแสนสิงห์หนึ่ง"
ประวัติ
พญาผายู กษัตริย์เชียงใหม่ราชวงศ์เม็งราย โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1888 ขั้นแรกให้ก่อสร้างเจดีย์สูง 23 วา เพื่อบรรจุพระอัฐิของพญาคำฟู พระราชบิดา ต่อมาอีก 2 ปี จึงได้สร้างพระอาราม เสนาสนวิหาร ศาลาการเปรียญ หอไตร และกุฏิสงฆ์ เมื่อเสร็จเรียบร้อย ทรงตั้งชื่อว่า "วัดลีเชียงพระ" สมัยพระเจ้าแสนเมืองมา ขึ้นครองนครเชียงใหม่ โปรดให้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาจากเมืองเชียงราย เมื่อขบวนช้างอัญเชิญมาถึงหน้าวัด ช้างก็ไม่ยอมเดินทางต่อ พระเจ้าแสนเมืองมา จึงโปรดให้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ประดิษฐาน ณ วัดลีเชียงพระ ประชาชนทางเหนือนิยมเรียกพระพุทธสิหิงค์ ว่า "พระสิงห์" จึงเป็นที่มาของชื่อ "วัดพระสิงห์" ในปี พ.ศ. 2360 พญาธัมลังกา หรือพระเจ้าช้างเผือกธรรมลังกา พระอนุชาของพระเจ้ากาวิละ โปรดให้บูรณะพระอุโบสถและพระเจดีย์
          ต่อมาในปี พ.ศ. 2467 เจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ องค์สุดท้าย พร้อมด้วยครูบาศรีวิชัย และประชาชนชาวเชียงใหม่ ได้ร่วมกันบูรณะปฏิสังขรณ์วัดพระสิงห์อีกครั้ง และได้มีการขุดพบสิ่งของมีค่ามากมาย อาทิ แผ่นทองคำจารึกเรื่องราวต่างๆ โกศบรรจุอัฐิพญาคำฟู แต่สิ่งของเหล่านี้สูญหายไปในช่วงสงครามเอเชียบูรพา และในปี พ.ศ. 2493 วัดพระสิงห์ ได้รับโปรดเกล้าให้เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร
วัดพระพุทธบาทสี่รอย
วัดพระพุทธบาทสี่รอยตั้งอยู่ที่ ต.สะลวง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่
ตำนานพระพุทธบาท 4 รอย
       เมื่อครั้งสมัยพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในศาสนาปัจจุบันนี้ได้เสด็จจารึกประกาศธรรม และโปรดเวไนยสัตว์มายังปัจจัยตะประเทศ (ประเทศไทยในปัจจุบัน)จนกระทั่งมาถึงเทือกเขาทางตอนเหนือของประเทศ ชื่อเขา เวภารบรรพต ซึ่งขณะนั้นได้เสด็จพร้อมกับพุทธสาวก 500 องค์ และได้แวะฉันจังหันอยู่บนเขา เวภารบรรพตแห่งนี้ เมื่อพระพุทธองค์ฉันจังหันเสร็จ ขณะประทับอยู่ที่นั้น ก็ได้ทราบด้วยญาณสมาบัติว่าบนเทือกเขาแห่งนี้ ได้มีรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้ามาประทับอยู่บนก้อนหินก้อนใหญ่คือ พระพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้ภัทรกัลป์นี้ แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงเล็งดูรอยพระพุทธบาทแห่งพระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์ คือ พระพุทธเจ้ากกุสันธะ , พระพุทธเจ้าโกนาคมนะ , พระพุทธเจ้ากัสสปะอันมีในที่นี้พุทธสาวกทั้งหลาย มีพระสารีบุตรเป็นประธานเมื่อเห็นเช่นนี้จึงทูลถามว่า พระพุทธองค์ทรงเล็งดูด้วยเหตุใดพระพุทธองค์จึงตรัสตอบว่า ดู ก่อนท่านทั้งหลายสถานที่แห่งนี้แม้นว่าพระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์ ที่ล่วงมาแล้วในอดีตกาล ก็มาประทับรอยพระบาทไว้ ณ ที่นี่ทุกๆ พระองค์ และ แม้นว่าพระศรีอริยเมตไตร ก็จักเสด็จมาประทับรอยพระบาทไว้ ณ ที่นี่ และจักประทับรอยพระบาท 4 รอยให้เป็นอันหนึ่งอันเดียว ( คือประทับลบรอยทั้ง 4 ให้เหลือรอยเดียว )เมื่อพุทธองค์ตรัสแก่สาวกทั้งหลาย เสร็จแล้ว พระองค์ก็เสด็จไปประทับรอยพระบาทซ้อนรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์ จึงมีรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้า 4 พระองค์ จึงเกิดเป็นพระพุทธบาท 4 รอย
1 รอยพระบาทของพระพุทธเจ้ากกุสันธะ รอยแรก เป็นรอยใหญ่ยาว 12 ศอก
2 รอยพระบาทของพระพุทธเจ้าโกนาคมนะ เป็นรอยที่ 2 ยาว 9 ศอก
3 รอยพระบาทของพระพุทธเจ้ากัสสปะ เป็นรอยที่ 3 ยาว 9 ศอก
4 รอยพระบาทของพระพุทธเจ้าโคตะมะ (ศาสนาปัจจุบันนี้) เป็นรอยที่ 4 รอยเล็กสุดยาว 4 ศอก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น