วัดบางพลีใหญ่กลาง(วัดพรระนอนใหญ่) |
ที่มาของ ประวัติความเป็นมา จากบทสัมภาษณ์พระครูพิศาลวุฒิกิจ ในแผ่นพับของวัดบางพลีใหญ่กลาง
วัดบางพลีใหญ่กลาง สร้างเมื่อประมาณ พ.ศ. 2367 ชาวบ้าน เรียกว่า "วัดกลาง" เพราะตั้งอยู่ท่ามกลางระหว่างวัดบางพลีใหญ่ในกับวัดคงคาราม (ร้างไปแล้ว) วัดบางพลีใหญ่กลางนี้เดิมเรียกว่า "วัดน้อยปทุมคงคา" สันนิษฐานว่ามีพระผู้ใหญ่จากวัดปทุมคงคาในกรุงเทพฯ มาตั้งสำนักสงฆ์ไว้ บ้างก็สันนิษฐานว่าอยู่ในพื้นที่มีน้ำ (คลองสำโรง)ท่วมถึง มีดอกบัวในท้องถิ่นมาก ต่อมาเปลี่ยนวัดใหม่ว่า"วัดราษฏร์ศรัทธาธรรม" และในที่สุดเปลี่ยนเป็น"วัดบางพลีใหญ่กลาง"ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อ วันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2478
ถาม:
ขอให้ท่านเจ้าอาวาสเล่าถึงประวัติของวัด และอดีตเจ้าอาวาสโดยสังเขป
พระคุณเจ้า:
มีเจ้าอาวาสตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันทั้งหมด 9 รูปได้แก่
รูปที่ 1 พระอธิการพ่วง พระอาจารย์ชำ
รูปที่ 2 พระปลัดกรุด
รูปที่ 3 พระอธิการเพ็ง
รูปที่ 4 พระอาจารย์ชำ
รูปที่ 5 พระอธิการเสม
รูปที่ 6 พระอรรถโถวิทวุฒิคุณ(หลวงปู่กิ่ม)
รูปที่ 7 พระครูโสภณธรรมาภรณ์
รูปที่ 8 พระครูปลัดไพศาล
รูปที่ 9 พระครูพิศาลวุฒิกิจ(พระอุปัชฌาย์)
นับตั้งแต่ พ.ศ. 2367 ถึงปัจจุบัน เวลาล่วงเลยมาแล้ว 185 ปี วัดได้เจริญรุ่งเรืองมาเป็นลำดับ เป็นที่รักจักแพร่หลายของคนทั่วไป แต่ในเขตอำเภอบางพลีของเรามีวัดมากมายและตั้งอยู่ไม่ไกลกัน เอกลักษณ์ของวัดบางพลีใหญ่กลางคือ พระนอนใหญ่ คนใกล้ไกลอาจไม่แน่ใจว่า วัดไหนคือวัดบางพลีใหญ่กลาง แต่ถ้าบอกว่าวัดพระนอนใหญ่ก็เป็นที่รู้จักของประชาชนทั่วๆไป
ถาม:
ประชาชนทั่วไปเคยชมข่าวสารทางโทรทัศน์ โดยเฉพาะคนที่อยู่ไกลหรือชาวต่างประเทศ มักถามเสมอว่าเมื่อครั้งก่อนผ่านมาเห็นพระพุทธสีห์ไสย์สน์อันสวยงามสง่าอยู่กลางแจ้ง ครั้นกลับมาอีกครั้งไม่เห็นพระนอนใหญ่ ใคร่ขอให้พระคุณเจ้าได้เล่าความเป็นมาโดยย่อ ด้วยทั้งทราบข่าวคราวว่าพระคุณเจ้าเป็นผู้ดำริในการจัดสร้าง ไม่ทราบว่ามีแรงจูงใจหรือมีวัตถุประสงค์หลักสำคัญอย่างไร?
หากให้อาตมาเล่าคงต้องใช้เวลามากพอสมควร หากจะต้องการทราบโดยละเอียด ขอให้คุณโยมหาโอกาสไปนมัสการและเดินทางไปเที่ยวชมดัวยตนเองบ้างเมื่อมีโอกาส สำหรับแรงจูใจโดยย่อก็ไม่มีอะไรมาก จากการไปจารึกแสวงบุญเทศนาอบรมพุทธศาสนิกชนในที่ต่างๆ ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ได้พบได้เห็นสิ่งต่างๆ อันเป็นอัศจรรย์ของโลก ได้เห็นศรัทธาแห่งมหาชนล้วนแต่ได้ทำให้เกิดสิ่งอัศจรรย์ต่างๆขึ้น ประกอบกับตำบลบางพลีใหญ่ของเราในอดีตยังไม่มีพุทธสถานขนาดใหญ่ที่จะเป็นศูนย์รวมแห่งศรัทธาของชาวชุมชน ทั้งให้สามารถเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม ได้เป็นที่เชิดหน้าชูตาของชาวบางพลี พุทธสถานหลายอย่างมีคนทำมากแล้ว พระสีหาไสยาสน์ไม่ค่อยมีใครสร้าง ที่สร้างไว้แต่อดีต เช่นพระนอนวัดโพธิ์ กรุงเทพฯ พระนอนจักรสีห์ จังหวัดสิงห์บุรี ด้วยเหตุนี้พออาตมา มาบวชได้ 21 พรรษา จึงได้ตัดสินใจสร้างพระนอนใหญ่ขึ้นดังที่ปรากฏ
ส่วนคำถามที่ประชาชนไกลๆ และชาวต่างประเทศมักถามเสมอว่าพระนอนใหญ่หายไปไหน มาครั้งหลังไม่เห็นพระนอนใหญ่อันสวยสง่างาม และเป็นพระนอนใหญ่ที่สุดในประเทศไทยนั้น เมื่อพระนอนใหญ่สร้างเสร็จเรียบร้อย ดูตระหง่านเป็นที่เชิดหน้าชูตาของชาวบางพลีและของวัด เป็นศูนย์รวมศรัทธามหาชน อันเป็นที่ล่ำลือไปทั่ว ทำให้มีนักท่องเที่ยว ผู้แสวงบุญ หลั่งไหลเข้ามาชมวัดบางพลีใหญ่กลาง อันเป็นแหล่งที่ท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดสมุทรปราการ อาตมาพร้อมด้วยพระคุณเจ้าในวัด และอุบาสก อุบาสิกาเห็นว่าพระนอนใหญ่ นอนตากแดด ตากลม ตากฝน อาจทำให้พระนอนชำรุดทรุมโทรม ดังนั้นใน พ.ศ. 2529 จึงเริ่มก่อสร้างมหาวิหารครอบองค์พระนอนใหญ่ ซึ่งทั้งพระนอนใหญ่และมหาวิหารใช้งบประมาณกว่า 69 ล้านบาท ซึ่งทั้งภายในองค์พระนอน และมหาวิหารได้ใช้ประโยชน์ เป็นสถานที่ปฏิบัติกัมมัฏฐานและประโยชน์อื่นๆ เป็นอเนกประการ
ด้านหน้ามหาวิหาร |
ปิดทองหัวใจพระศากยมุณีศรีสุเมธบพิตร
ถาม:
ทราบว่าที่ชั้น 4 ขององค์พระนอนใหญ่ เป็นที่บรรจุหัวใจพระนอนใหญ่ปิดทองเหลืองอร่าม ขอพระคุณเจ้าได้ช่วยอธิบาย ความหมายของการปิกทองหัวใจพระนอน ซึ่งอาจมีแห่งเดียวในประเทศไทย
พระคุณเจ้า:
การปิดทองหัวใจพระ เป็นนัยการบอกให้ผู้กระทำทราบว่าเข้าถึงหัวใจหรือเข้าถึงแก่นแท้แห่งพระพุทธศาสนา คือการเข้าถึงความสุขอันแท้จริง ก่อนที่เราจะทำการปิดทองหัวใจพระ ควรตั้งจิตอธิษฐาน ขอบารมีหลวงพ่อพระนอนใหญ่ปกปักรักษาให้หัวใจของเราปราศจากโรคาพยาธิต่างๆ นอกจากนี้ที่พระเกศของพระนอนใหญ่ ยังบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้อีกด้วย เมื่อได้มีโอกาสเข้าไปนมัสการปิดทองหัวใจพระดังกล่าวแล้ว จะได้พบเห็นอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายทั่วไป เช่นเดียวกันกับอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายของตัวเรา จะเกิดการปลงอนิจจัง
ปิดทองหัวใจพระศากยมุณีศรีสุเมธบพิตร |
พระนอนใหญ่
สมเด็จพระศากยมุณีศรีสุเมธบพิตร วัดบางพลีใหญ่กลาง อ.บางพลี จ. สมุทรปราการ เป็นพระพุทธรูปปางสีหไสยาสน์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ยาว 26 วา 1 ศอก 9 นิ้ว กว้าง 3 วา 1 ศอก สร้างเมื่อปีพ.ศ. 2521 เสร็จเมื่อปี พ.ศ.2544 โดยพระครูพิสศาลวุฒิกิจ เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลางรูปปัจจุบัน แรงบันดาลใจในการสร้างพระนอนท่านเล่าว่า จากประสบการณ์ที่อยู่ในสมณะเพศได้เดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ จึงเกิดความคิดที่จะทำอะไรสักอย่างหนึ่งเพื่อเป็นการสร้างกุศล และให้ประชาชนมาทำบุญที่วัดมากๆเหมือนกับวัดอื่นๆ ที่เคยพบเห็น พระนอนดังกล่าวนี้ ภายในมีห้องปฏิบัติกรรมฐาน มีภาพเขียนเป็นเรื่องราวเทวดานรก และเรือสำเภาหน้าวัดด้านริมคลองสำโรงและมีอวัยวะภายใน โดยเฉพาะหัวใจจะบรรจุด้วยเพชรนิล จินดา น้ำพันจันทร์ และทองคำ สื่อความหมายถึงความแข็งแกร่งและศักดิ์สิทธิ์ เพื่อประชาชนมาปิดทองที่หัวใจพระนอนเปรียบเสมือนปิดทองหัวใจพระพุทธเจ้า
สิ่งที่น่าสนใจศึกษาและเรียนรู้
วัดบางพลีใหญ่กลาง ชาวบางพลี เรียกว่า วัดกลาง หรือ วัดพระนอน ตามลักษณะพระพุทธรูป ซึ่งเข้าไปภายในโบสถ์จะเห็นพระนอนองค์ขนาดใหญ่ ประดิษฐานอยู่ ซึ่งความยาวขององค์พระนอน ตั้งแต่ปลายเกศถึงพระบาท ยาว 52 เมตร 50 เซนติเมตร กว้าง 7 เมตร นับว่าเป็นพระพุทธรูปปางไสยยาสน์องค์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทยในปัจจุบัน นอกจากภายในโบสถ์จะมีพระนอนที่ใหญ่แล้ว ยังมีพระพุทธรูปปางต่าง ๆ ให้ประชาชนเข้ามากราบไหว้ และมีสิ่งหนึ่งที่ประชาชนให้ความสนใจคือ ช้างเสี่ยงทาย มีความเชื่อกันว่าถ้าใครมาอธิฐาน และหากว่าคำอธิฐานที่ตนอธิฐานเป็นจริงก็จะยกช้างขึ้น ตรงกันข้าม หากคำอธิฐานไม่เป็นจริงก็จะยกช้างไม่ขึ้น ภายในองค์พระนอนจะมีห้องต่าง ๆ โดยทางเดินปูพื้นด้วยหินขาว บันไดทางขึ้นปูด้วยหินอ่อน ขึ้นไปชั้นที่ 2 เป็นที่ฝึกกรรมฐานของพระ ชั้นที่ 3 มีภาพเขียนที่เขียนแสดงเรื่องราวพุทธประวัติ และเรื่องราวที่เขียนเกี่ยวกับการทำความดี ว่าทำความดีแล้วจะได้ขึ้นสวรรค์เป็นนางฟ้า เทวดา และเขียนเกี่ยวกับการทำความชั่วว่า ถ้าทำความชั่วก็จะตกนรกตายไปจะเป็นเปรต เป็นต้น ซึ่งภาพเหล่านี้เขียนโดยอาจารย์ วัจฉละ สาเงิน ครูศิลปะจากโรงเรียนสตรีสมุทรปราการ ส่วนชั้นที่ 4 เป็นชั้นที่ทุกคนเมื่อได้มาแล้วต้องขึ้นไป เพราะในชั้นนี้เป็นชั้นที่บรรจุหัวใจพระนอน ปิดทองเหลืองอร่าม ซึ่งสาธุชนถือว่าการที่ได้กราบไหว้ และปิดทองที่หัวใจพระนอนก่อให้เกิดบุญกุศล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น