เชียงใหม่
ถือได้ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีมนต์ขลัง ที่ใครได้ไปแล้วก็อยากไปอีก ผมเองก็เคยไปมา 3 ครั้ง ช่วงเวลาที่เหมาะสมมากที่สุดควรจะเป็นฤดูหนาว ครั้งนี้ไปช่วงปีใหม่ เพราะตั้งใจจะไปชมทิวทัศน์ที่สวยงามตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นจับขั้วหัวใจ (ต้นปี 2554) เลยมาเล่าสู่กันฟัง เพราะก่อนหน้านี้ไม่ได้คิดที่จะเขียนเว็บกับเขา ความจริงประเทศไทยผมท่องเที่ยวมาเกือบทุกจังหวัด เหนือ อีสาน ใต้ แต่ไม่เคยบันทึกหรือถ่ายทอดให้ใครรับรู้ จนผมเองก็จำไม่ค่อยได้ เดี๋ยวรอเข้าหน้าหนาวครับผมมีทริป ท่องเที่ยวสวนผึ้งราชบุรีคงมีอะไรดีๆมาฝาก
การเดินทางของผมนั้นโดยรถยนต์ส่วนตัว IZUSU 4 ประตู ข้างหลังติดแครี่บอย สัมภาระเต็มหลังคา ไปกันทั้งครอบครัว ออกเดินทางจากตำหนักพระแม่กวนอิมที่โชคชัย4 เวลา เที่ยงคืน โดยใช้เส้นทางสาย 32 อยุธยา นครสวรรค์ เรื่อยไป ด้วยความเร็ว 130 -140 กิโลเมตร/ชั่วโมง ไปถึงเชียงใหม่ประมาณเกือบเที่ยงวันของวันรุ่งขึ้น ในขณะเดินทางถ้าเมื่อยล้าก็จอดรถตามปั๊มน้ำมันเพื่อคลายกล้ามเนื้อบ้าง เพราะขับคนเดียวไม่มีคนคอยเปลี่ยนมือ และเข้าพักที่ตำหนักพระแม่กวนอิมสาขาเชียงใหม่ โดยได้รับความอนุเคราะห์จากพระแม่ที่ตำหนักโชคชัย 4 ซึ่งอยู่ในตัวจังหวัด ไม่ได้เช่าโรงแรมประหยัดเงินไปอีกเปราะหนึ่ง พอตกตอนเย็นก็ไปเดิน ไนท์บาร์ซ่า หรือตลาดนัดตอนกลางคืน จะเป็นสินค้าออกทางพื้นเมืองเสียเป็นส่วนใหญ่ เป็นแหล่งที่สร้างความคึกคัก และเป็นแหล่งที่สร้างรายได้ให้กับพ่อค้าแม่ค้าได้ดีทีเดียว เพราะมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมาใช้บริการอย่างหนาแน่น ก็เดินชมอยู่พักหนึ่งและทานข้าวเสร็จก็กลับที่พัก เพื่อเตรียมตัวออกทิฟในวันรุ่งขึ้น
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากจัดการกับอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว ได้ขับรถคู่ชีพจากตัวจังหวัดมุ่งหน้าไปวัดพระธาตุดอยสุเทพ ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ 6 กิโลเมตร และขับขึ้นสู่ยอดดอยอีกประมาณ 16 กิโลเมตร ทางคดเคี้ยวไปตามเขาต้องขับรถด้วยความระมัดระวัง เพราะบางช่วงจะมีหมอกหนาปกคลุม เมื่อไปถึงวัดจะมีลานจอดรถไว้บริการสะดวกดีครับ แต่เสียตังค์
วัดพระธาตุดอยสุเทพ
พระเจดีย์ |
วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1929 ในสมัยพญากือนา กษัตริย์องค์ที่ 6 แห่งอาณาจักรล้านนาราชวงศ์เม็งราย พระองค์ทรงได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุองค์ใหญ่ ที่ได้ทรงเก็บไว้สักการะบูชาส่วนพระองค์ถึง 13 ปี มาบรรจุไว้ที่นี่ ด้วยการทรงอธิษฐานเสี่ยงช้างมงคลเพื่อเสี่ยงทายสถานที่ประดิษฐาน พอช้างมงคลเดินมาถึงยอดดอยสุเทพ มันก็ร้องสามครั้ง พร้อมกับทำทักษิณาวัตรสามรอบ แล้วล้มลง พระองค์จึงโปรดเกล้าฯให้ขุดดินลึก 8 ศอก กว้าง 6 วา 3 ศอก หาแท่นหินใหญ่ 6 แท่น มาวางเป็นรูปหีบใหญ่ในหลุม แล้วอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุลงประดิษฐานไว้ จากนั้นถมด้วยหิน แล้วก่อพระเจดีย์สูง 5 วา ครอบบนนั้น ด้วยเหตุนี้จึงห้ามพุทธศาสนิกชนที่ไปนมัสการสวมรองเท้าใน บริเวณพระธาตุ และมิให้สตรีเข้าไปบริเวณนั้น ในปี พ.ศ. 2081สมัยพระเมืองเกษเกล้า กษัตริย์องค์ที่ 12 ได้ทรงโปรดฯให้เสริมพระเจดีย์ให้สูงกว่าเดิม เป็นกว้าง 6 วา สูง 11 ศอก พร้อมทั้งให้ช่างนำทองคำทำเป็นรูปดอกบัวทองใส่บนยอดเจดีย์ และต่อมาเจ้าท้าวทรายคำ ราชโอรสได้ทรงให้ตีทองคำเป็นแผ่นติดที่พระบรมธาตุในปี พ.ศ. 2100 พระมหาญาณมงคลโพธิ์ วัดอโศการาม เมืองลำพูนได้สร้างบันไดนาคหลวงทั้ง 2 ข้าง เพื่อให้ประชาชนขึ้นไปสักการะได้สะดวกขึ้น และกระทั่งถึงสมัยครูบาศรีวิชัย ท่านได้สร้างถนนขึ้นไป โดยถนนที่สร้างนี้มีความยาวถึง 11.53 กิโลเมตร เป็นวัดที่โด่งดังมาก ใครไปเชียงใหม่แล้วไม่ไปกราบนมัสการเขาว่าไปไม่ถึงเชียงใหม่
เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่มีความสำคัญทางศาสนาและประวัติศาสตร์ของนครเชียงใหม่ ตั้งอยู่บนดอยสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.1926ในสมัยของพระญากือนามหาราช มีบันไดนาคทอดยาวขึ้นไปสู่วัด 306 ขั้น ภายในวัดเป็นที่ประดิษฐานขององค์เจดีย์ทรงมอญ ที่ใต้ฐานพระเจดีย์มีพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรรจุอยู่ วัดพระธาตุดอยสุเทพมีชื่อเต็มว่า “วัดพระบรมธาตุดอยสุเทพวรวิหาร” ซึ่งจัดได้ว่าเป็นปูชนียสถาน ที่แสดงออกถึงศิลปกรรมล้านนาไทยที่สำคัญคู่เมืองเชียงใหม่ ดอยสุเทพไม่เพียงแต่เป็นที่ตั้งของวัดพระบรมธาตุดอยสุเทพ ปูชนียสถานคู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่ และพระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ ที่ผ่านมายังเป็นที่ประทับในช่วงฤดูหนาวของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
บริเวณลานชมวิวดอยสุเทพ |
เมื่อกราบนมัสการองค์พระธาตุและชมวิวที่จุดชมวิวจนหนำใจแล้ว พากันเดินลงบันได ( ผมลืมบอกไป ที่ดอยสุเทพจะมีลิฟท์ไฟฟ้าไว้คอยบริการ แต่คนใช้บริการเยอะมากผมเลยพากันเดินขึ้นบันได ไม่อยากรอนาน ) หลังจากพักหายเหนื่อย ไปต่อกันที่ ตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น